วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

อ่านนิสัยจากวิธีล้างจาน

ใน ชีวิตประจำวันมนุษย์เราต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ซึ่งในแต่ละมื้อก็จะแตกต่างกันออกไป ลงมือทำรับประทานเองบ้าง ซื้ออาหารถุงบ้าง เข้าไปนั่งรับประทานในร้านทั่วๆ ไปบ้าง อันนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความจำเป็นของแต่ละบุคคล
แต่หากบ้านไหนที่นิยมรับประทานอาหารที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นมื้อใดๆ แน่นอนเมื่ออิ่มหมีพีมันแล้วก็ต้องมีคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบล้างจาน คุณ เคยรู้กันบ้างไหมว่าวิธีการล้างจานของแต่ละคนนั้นสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัยใจ คอส่วนตัวได้เป็นอย่างดี ไม่เชื่อลองมาดูกัน ว่าพฤติกรรมและนิสัยของคนล้างจานเป็นยังไงกันบ้าง!!!!

มักเก็บกวาดเศษอาหารก่อนล้าง
สำหรับ คนที่เก็บกวาดเศษอาหารอย่างหมดจดทุกครั้งก่อนล้างจานนั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีความรอบคอบ มีความตั้งใจสูง รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี มีความมั่นคงทางจิตใจมาก เป็นนักจัดการนักวางแผนที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ใช่คนที่คิดหรือทำอะไรซับซ้อน

ชอบล้างจานด้วยน้ำเปล่าก่อนทุกครั้ง
คน ที่ต้องล้างจานด้วยน้ำเปล่าก่อนทุกครั้ง แสดงว่าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เป็นนักวางแผนที่ดี มีมันสมองระดับนักคิดนักวิเคราะห์ แต่บางครั้งก็ติดจะเคร่งเครียดอยู่สักหน่อย และมีระเบียบวินัยเกินไปสักนิด คนที่อยู่ใกล้จะสัมผัสได้ถึงความเข้มงวดในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านหนึ่ง มักเป็นคนรู้จักคุณค่าของสิ่งของเครื่องใช้ ทะนุถนอมข้าวของ มีน้ำใจไยดีต่อคนรอบข้าง แต่ลักษณะภายนอกจะดูเย็นชา จึงไม่ค่อยมีคนกล้าเข้ามาสนิทสนมด้วยสักเท่าไร

ชอบล้างจานรอบเดียว
ส่วน คนที่ชอบล้างจานรอบเดียว คือนำจานลงล้างด้วยน้ำยาล้างจานทันที ไม่ว่าจะเปื้อนมากน้อยแค่ไหนหรือมีเศษอาหารติดอยู่หรือไม่นั้น แสดงว่าเป็นคนที่รักอิสระ ไม่ชอบตกอยู่ในกฎเกณฑ์ใดๆ แต่ก็เป็นคนหัวอ่อน ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ตามใจคนอื่นด้วย เพราะไม่ใช่คนดื้อรั้น และมักเป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบในชีวิตนัก ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวก็มักวางไว้แบบรกรุงรัง แต่ว่าก็มีรสนิยมทางด้านศิลปะและอารมณ์อ่อนไหว

ชอบดมจานหลังล้างเสร็จ
ส่วน คนที่ชอบยกจานขึ้นดมหลังจากล้างเสร็จแล้ว เพื่อพิสูจน์ดูว่ายังมีกลิ่นน้ำยาล้างจานตกค้างอยู่บ้างไหมนั้น แสดงว่าเป็นคนค่อนข้างวิตกกังวลง่าย อ่อนไหว ขี้กลัว เมื่อตกอยู่ในสภาพกดดันก็มักจะจินตนาการพาตัวเองไปอยู่ในโลกความฝัน ไม่กล้าเผชิญกับความจริง แต่ก็เป็นคนจิตใจอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ก็อาจเรียกร้องต้องการความรักจากคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

ชอบจัดของที่จะล้างเป็นหมวดหมู่
สำหรับ คนที่ก่อนจะล้างจานหรือภาชนะอื่นๆ เป็นต้องจัดหมวดหมู่เสียก่อนว่านี่คือแก้ว คือช้อนส้อม คือจานชาม ฯลฯ แล้วทยอยนำลงล้างทีละอย่างนั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีความพิถีพิถันในทุกเรื่องที่ตัวเองทำ และยังรวมไปถึงสิ่งที่คนอื่นๆ ทำด้วย ค่อนข้างจู้จี้จุกจิก ชอบความสมบูรณ์แบบในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่คาดหวังต่อคนใกล้ชิดสูง มักคิดว่าอะไรที่ตัวเองทำได้ คนอื่นก็ต้องทำได้เช่นกัน ออกจะเป็นคนที่ไม่ค่อยนึกถึงจิตใจของใครนัก มักล้างจานอย่างเร่งรีบ

คนที่ล้างจานด้วยความรีบร้อนเสมอแถมเวลาล้างก็ล้างด้วยเสียงโครมคราม
นั้น แสดงว่าเป็นคนใจร้อน มีอารมณ์วู่วาม มักไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ และพร้อมจะมีเรื่องกับทุกคนได้เสมอหากถูกทำให้เลือดขึ้นหน้า นอกจากนั้นก็มักเป็นคนว่องไว คิดอะไรได้ก็จะลงมือทำทันที นิยมการโต้แย้งมากกว่าจะนิ่งเฉย ชอบการเป็นฝ่ายรุกมากกว่าเป็นฝ่ายรับในทุกๆ เรื่อง

ชอบล้างจานซ้ำๆ หลายรอบ
ส่วน คนที่ล้างจานแบบซ้ำๆ หลายรอบ ล้างแล้ว ล้างอีก แสดงว่าเป็นคนช่างคิด มักจะมีความคิดบางอย่างเป็นของตัวเอง แต่ไม่ชอบบอกใคร บางคนจะดูเงียบขรึม แต่ถ้าหากได้พบคนที่ถูกใจ หรือมีโอกาสพูดในสิ่งที่ต้องการพูด ก็จะกลายเป็นคนพูดเก่งไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ มีแนวโน้มว่าจะเชื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง จนบางครั้งมีแต่ความสับสน

มักล้างจานอย่างเพลิดเพลิน
ส่วน คนที่มีนิสัยถึงกับชอบล้างจานและรู้สึกเพลิดเพลินมีความสุขนั้น แสดงว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีไม่เก็บกด ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองข้องใจหรือสงสัยสิ่งใดอยู่นาน มีความโปร่งใสในทุกเรื่อง ชัดเจนในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อคุณค่าความสัมพันธ์ของคนกับคนมากๆ อีกด้วย

เป็นยังไงบ้างคะ ตรงกับนิสัยของคุณกันบ้างรึเปล่าเอ่ย...?

การนำต้นไม้กลับบ้าน

ใครที่ชอบปลูกต้นไม้ เวลาไปเลือกซื้อแล้ว ไม่รู้จะนำกลับยังไง วันนี้มีวิธีนำต้นไม้กลับมาปลูกที่บ้านมาบอก....
หลัง จากที่เลือกซื้อต้นไม้ที่ต้องการแล้ว ต่อมาคือการนำเอาต้นไม้ที่ซื้อกลับบ้าน ถ้าเป็นต้นเล็ก ๆ ต้นหรือสองต้นก็อาจถือกลับบ้านเองได้ แต่ถ้าซื้อต้นไม้ขนาดใหญ่หรือซื้อทีละหลาย ๆ ต้น การขนส่งต้องใช้รถยนต์ขน การปกป้องให้ต้นไม้บอบช้ำน้อยที่สุด มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
1. ไม่ควรขนถ่ายต้นไม้ในวันที่มีลมแรงมีพายุฝนหรืออากาศร้อนมาก ๆ
2. ถ้านำต้นไม้บรรทุกรถยนต์กลับบ้าน ควรมีการยึดเกาะต้นไม้ไว้กับตัวรถให้แน่นอย่าให้ล้มหรือตะแคงได้
3. ต้นไม้ที่มีใบยาวหรือใบแผ่กว้าง ควรทำการรวบและใช้เชือกมัดรวบเข้าด้วยกันหรืออาจจะใช้กระสอบคลุมทับอีกที หนึ่งก็ได้ เพื่อป้องกันแดดและลม
4. รถยนต์ที่จะใช้ในการขนถ่ายต้นไม้ควรเป็นรถที่มีหลังคาเพื่อป้องกันแดด ลมและฝน
5. กรณีที่ใช้รถกระบะที่ไม่มีหลังคาขนต้นไม้ ควรใช้ตาข่ายคลุมต้นไม้ไว้ เพื่อไม่ให้ลมตีใบไม้เสียหายขณะเดินทาง ปัจจุบันนิยมใช้ซาแรน (ตาข่ายสีดำหรือสีเขียวเอาไว้บังแดด) เพราะมีน้ำหนักเบาและกรองแสงได้ดี
6. ควรทำการขนถ่ายต้นไม้ในตอนเช้าหรือตอนเย็นที่อากาศไม่ร้อน
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าซื้อต้นไม้ครั้งต่อไป อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปขนต้นไม้กลับบ้านให้ถูกวิธี.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

รหัสนำทางความรัก " ก - ฮ "

Do-Don't เคล็ดลับการวิ่งออกกำลังกายที่ถูกต้อง

การวิ่งออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งวิถีทางเลือกสำหรับคนเมืองในสังคุมยุคดิจิตอลปัจจุบัน และไม่ว่าคุณจะชอบวิ่งในร่ม หรือในสวนสาธารณะ Do - Don't ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรรู้ไว้ ก่อนสวมรองเท้าวิ่งค่ะ
Do 1.ตั้งคอให้ตรง มองตรงไปยังพื้นด้านหน้า ในระยะประมาณ 10-30 เมตร พยายามให้กล้ามเนื้อคอ
และขากรรไกรผ่อนคลายให้มากที่สุดขณะวิ่ง
2.รักษาระดับการวิ่งให้เป็นไปด้วยความผ่อนคลายมากที่สุด อย่าเกร็งมือที่กำขณะวิ่ง ให้หน้าอกผ่อนคลายและ
อยู่ในท่าตรงไปเบื้องหน้า
3.วิ่งในท่าที่ทำให้ขาก้าวยาวๆ เคลื่อนที่ไปข้างลำตัวมากที่สุด ไม่ใช่ยกขาสูงในแนวตั้งมากเกินไป
4.ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า
ปวดกล้ามเนื้อน่อง และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านข้อเข่า ทำให้อาจเกิดการปวดเข่าด้านหน้าได้ การวิ่งลงน้ำหนักที่ปลายเท้าจะทำได้
ในกรณีที่เร่งความเร็ว หรือสำหรับนักกีฬาที่มีความฟิตเพียงพอ
Don't
1.เคลื่อนไหวศีรษะและกล้ามเนื้อคอไปมามากเกินไปขณะวิ่ง
2.เกร็งข้อมือหรือมือเวลาวิ่ง
3.โค้งหรือเกร็งหัวไหล่ทั้งสองข้างเข้าหาลำตัวขณะวิ่ง เพราะจะทำให้ปวดไหล่ได้
4.วิ่งโดยยกหัวเข่าสูงเกินไป อาจทำให้เมื่อยเร็วขึ้น
5.เกร็งหัวแม่เท้าที่อยู่ในรองเท้าขณะวิ่ง เพราะอาจเป็นตะคริวได้ง่าย
จากหนังสือ Run for life

การออกกำลังกาย ตอนเย็น ดีกว่า ออกกำลังกาย ตอนเช้า

เมื่อก่อนผมชอบออกวิ่งในเวลาตีห้าบ่อยๆครับ แต่เมื่อได้อ่านบทความนี้จึง
ทำให้รู้ว่า การออกกำลังกายเวลาไหนและวิธีที่ถูกต้องเป็นอย่างไรครับ
จึงขอนำเสนอเพื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี ??
สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์ เครื่องยนต์ของเราคือกล้าม เนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน คนเราก็ต้องการอาหารเป็น พลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้ โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย
ตื่นนอนเช้ารถยนต์และร่างกายเรา ไม่มีน้ำมัน ไม่มีพลังงานจำเป็นต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อน รถยนต์จะได้มี พลังงานวิ่งไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขา ทำให้เราไปไหนมาไหนได้
รถยนต์ต่างกับร่างกายเรา ตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับรถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม. จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจาก อาหารถูกดูดซึมเข้ามาในเลือดแล้ว เลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ ตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลังซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก บวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือถ้าทำ ให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ เท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม. เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึมเข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.) เลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะก็จะกระจายไปหมด ถึงตอนนี้จะวิ่งก็ ปลอดภัย
ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้า แล้วมาออกกำลัง เพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็น ร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คงไม่มีใครกินอาหาร ก่อนออกกำลังแน่ เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติมน้ำมันรถยนต์จะวิ่งได้อย่าง ไร แต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหารเสร็จเข้า นอน ไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอนหลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่น น้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรด ไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับรถยนต์น้ำมัน แห้งถัง สภาพนี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ ในที่ต่าง ๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถออกกำลังกาย ได้ มาลองคิดดู ตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอาสารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันที ตับต้องดึงสาร อาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะไม่ได้พัก เลย เหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆ มาให้แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมัน กลายเป็นตับแข็ง
ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม. จึงจะไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้ จะมีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้น ฝรั่งจึงมีแต่คำว่า morning walk ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น เดิน ก่อนเดินก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วย ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้ กินเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ ก็ใช้พลังงานน้อย ที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว
ลองพิจารณาการออกกำลัง ตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้า อาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยัง เหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมด สามารถออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถ ยนต์ น้ำมันยังไม่แห้งถัง แต่จะให้ดีอาจเติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็ก น้อย ก่อนไปออกกำลัง จะทำให้ไม่รู้สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญ เมื่อออกกำลังตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่ม กลับถึงบ้านท่านจะไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีก และหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอน จะเหลือสารอาหาร น้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆ จึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหารเหลือค้างในหลอดเลือดโดยเฉพาะ ไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา
ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้า หรือตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี (แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยง น้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอนเย็นจึงได้ 2 ต่อ
จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆ นี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออก กำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อ มีกรณีเดียวที่ออกกำลังกายตอนเช้าได้ประโยชน์คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไป เช่นโรคภูมิแพ้ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลังกายตอนเช้า ช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้น กินยาลดภูมิต้านทานน้อยลงได้
สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่า ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี
มีข้อเสนอ อีกข้อหนึ่งคือออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที – 60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไปนี้ ร่างกายจะหลั่ง “เอนดอร์ฟีน” ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลาย เครียด ฉะนั้น ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการ การนอนเพียง 5 ช.ม. ก็เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่านอนหลับสนิท 5 ช.ม. เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาพบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการ โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่าพวกนอน 7-8 ช.ม.
ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็นหรือก่อนนอน ดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า
บทความจากสภากาชาดไทย :
โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภาการชาดไทย

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ผู้หญิงทุกคนควรอ่าน

มะเร็งปากมดลูก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต



แม้ มะเร็งปากมดลูก จะเป็นโรคที่ป้องกันและรักษาให้หายได้ แต่ โรคมะเร็งปากมดลูก ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งของมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิง โดยมีอัตราการเสียชีวิตของ มะเร็งปากมดลูก เฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และพบผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก รายใหม่สูงถึง 6,000 คนต่อปี โดยในจำนวนของผู้มีเชื้อนี้กว่าครึ่งต้องเสียชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอายและกลัวที่จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อมะเร็ง ทำให้กว่าจะรู้ว่าป่วยด้วย โรคมะเร็งปากมดลูก นี้ ความรุนแรงของโรคก็อยู่ในระยะลุกลามแล้ว..ดังนั้น วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก มาให้คุณรู้เท่าทัน โรคมะเร็งปากมดลูก กันค่ะ



โรคมะเร็งปากมดลูก (Cancer of Cervix) เกิดจากเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า HPV (Human Papilloma Virus) ภาษาไทยเรียกกันว่า ไวรัสหูด ไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากการสัมผัส ส่วนใหญ่เป็นการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิวหรือเยื่อบุ และเชื้อไวรัสจะเข้าไปที่ปากมดลูก ทำให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อหรือเซลล์ จากปากมดลูกปกติกลายเป็นระยะก่อนเป็น มะเร็งปากมดลูก



ไวรัสเอชพีวี มีทั้งหมดกว่า 100 ชนิด แต่ที่ทำให้ติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์มีประมาณ 30-40 ชนิด แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูง กลุ่มเสี่ยงต่ำไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ หรือหูดที่กล่องเสียง ส่วนกลุ่มเสี่ยงสูงก่อมะเร็งต่างๆ ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอด



สำหรับความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวีดำเนินได้โดยง่าย เชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อที่ทนทานต่อความร้อน และความแห้งได้ดี สามารถเกาะติดตามผิวหนัง อวัยวะเพศ เสื้อผ้า หรือแม้แต่กระจายอยู่รอบตัวในรูปของละอองฝุ่น ซึ่งผู้หญิงทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ย่อมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อมักหายได้เอง ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย มีเพียง 10% เท่านั้น ที่การติดเชื้อยังดำเนินต่อไป สร้างความผิดปกติให้กับเยื่อบุปากมดลูก และทำให้กลายเป็นมะเร็งในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งก่อให้เกิด มะเร็งปากมดลูก ได้นั้น ใช้เวลานานประมาณ 10-15 ปี



ปัจจัยเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก



- การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย

- การมีคู่นอนหลายคน หรือฝ่ายชายที่เราร่วมหลับนอนมีคู่นอนหลายคน

- การคลอดบุตรจำนวนหลายคน

- การสูบบุหรี่

- การมีภาวะคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะเป็นโรคเอดส์

- การสูบบุหรี่

- พันธุกรรม

- การขาดสารอาหารบางชนิด



ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย ที่อาจทำให้ผู้หญิงเป็น มะเร็งปากมดลูก



- ผู้ชายที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

- ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย

- ผู้หญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ

- ผู้หญิงที่มีสามีเคยมีภรรยาเป็น มะเร็งปากมดลูก

- ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน



อาการและการรักษา โรค มะเร็งปากมดลูก



โรค มะเร็งปากมดลูก มักพบในผู้หญิงอายุ 35 - 60 ปี แต่ก็อาจพบ มะเร็งปากมดลูก ก่อนวัยอันควรได้ ทั้งนี้ อาการของผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก จะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง ซึ่งอาการที่พบในผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก ได้แก่



อาการตกเลือดทางช่องคลอด เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80 – 90 ของผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก ลักษณะเลือดที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน มีตกขาวผิดปกติ กลิ่นเหม็น มีเลือดปน หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ ถ้าเป็นมากและมะเร็งลุกลามออกไปด้านข้าง หรือลุกลามไปที่อุ้งเชิงกรานก็จะมีอาการปวดหลังได้ เพราะไปกดทับเส้นประสาท



อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามหรือไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ขาบวม ปวดหลัง ปวดก้นกบ ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น



โรค มะเร็งปากมดลูก แบ่งเป็น 0-4 ระยะ ดังนี้



ระยะ 0 คือ เซลล์มะเร็งยังไม่กระจาย วิธีรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 0 คือ ผ่าตัดเล็ก ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาที และตรวจติดตามอาการ การรักษาระยะนี้ได้ผลเกือบ 100%



ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 1 คือผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดมดลูก เลาะต่อมน้ำเหลืองในเชิงกราน ซึ่งได้ผลดีถึง 80%



ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งกระจายออกจากปากมดลูก โดยยังไม่ไปไกลมาก แต่ก็ไม่สามารถผ่าตัดได้ การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 นี้ ต้องรักษาด้วยการฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด (คีโม) ได้ผลราว 60%



ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งกระจายชิดเชิงกราน การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 3 คือใช้รังสีรักษา และการให้เคมีบำบัด การรักษาระยะนี้ได้ผลประมาณ 20-30%



ระยะที่ 4 เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งกระจายทั่วร่างกาย การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 คือการให้คีโม และรักษาตามอาการ โดยหวังผลได้เพียง 5-10% และโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่แน่ โดยมีผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก บางรายสามารถอยู่ต่อได้นานถึง 1-2 ปี จึงเสียชีวิต



ผลข้างเคียงจากการรักษาโรค มะเร็งปากมดลูก



การผ่าตัด ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่อาจเกิดได้ ได้แก่ การตกเลือด การติดเชื้อ อันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง

การฉายแสง (ระยะเวลา 1-2 เดือน) ผลข้างเคียง คือ ผิวแห้ง ปัสสาวะมีเลือดปน อ่อนเพลีย

ยาเคมีบำบัด ผลข้างเคียงคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง มือเท้าชา ซึ่งขึ้นกับยาแต่ละชนิดที่เลือกใช้



ผู้หญิงควรจะเริ่มตรวจหาโรค มะเร็งปากมดลูก เมื่อใด



ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ ควรมาตรวจคัดกรองเชื้อ มะเร็งปากมดลูก หรือที่เรียกว่า แพปสเมียร์ (Pap Smear) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรเริ่มเมื่อ อายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ในกรณีที่เริ่มพบความผิดปกติแพทย์อาจนัดให้ไปตรวจถี่ขึ้น



ทั้งนี้ แพปสเมียร์ คือ วิธีการตรวจหาความผิดปกติ หรือโรค มะเร็งปากมดลูก ที่ค่อนข้างง่าย ใช้เวลาเพียง 2–3 นาทีเท่านั้น เป็นการตรวจที่ทำควบคู่ไปกับการตรวจภายในของผู้หญิง แพทย์จะสอดเครื่องมือเข้าไปในช่องคลอด โดยใช้ไม้ขนาดเล็กขูดเบาๆ เพื่อเก็บเซลล์มาป้ายบนแผ่นกระจก และนำไปตรวจหาความผิดปกติ โดยก่อนที่จะตรวจ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม ไม่ควรตรวจในช่วงระหว่างมีประจำเดือน งดการมีเพศสัมพันธ์ และงดการสวนล้างช่องคลอด หรือสอดยาใดๆ ก่อนเข้าทำการตรวจ ข้อดีคือ วิธีการตรวจแบบแพปสเมียร์นี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็น โรคมะเร็งปากมดลูก ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์



วัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก



หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก ความจริงแล้ว ระดับการป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูก มีหลายระดับ โดยระดับแรกของการป้องกันคือ การฉีดวัคซีน ที่เชื่อว่าลดความเสี่ยงได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ การป้องกันขั้นพื้นฐานด้วยการตรวจแพปสเมียร์เป็นประจำก็เป็นเรื่องสำคัญ



ทั้งนี้ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งสหรัฐอเมริกา เด็กและหญิงสาวที่อายุต่ำกว่า 26 ปี ซึ่งไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน สามารถรับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อเอชพีวี ส่วนหญิงสาวที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ควรตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก หรือแพปสเมียร์เสียก่อน เพราะเป็นไปได้ว่าอาจพบการติดเชื้อ หรือมีความผิดปกติ ซึ่งจะต้องทำการรักษาให้หายเสียก่อน จึงจะรับการฉีดวัคซีนได้ในเวลาต่อมา ส่วนวัยที่ควรเริ่มฉีดวัคซีนชนิดนี้คือ 9 ปีขึ้นไป และการใช้วัคซีนในผู้หญิงวัย 9 – 26 ปี จะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด



อย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสุขภาพ และความผิดปกติของร่างกาย ที่สำคัญอย่ากลัวหรืออายที่จะไปตรวจหาเชื้อ มะเร็งปากมดลูก เพราะหากช้าไป โรคร้ายอาจทำลายคุณ





* จึงอยากให้ผู้หญิงทุกคนใส่ใจสุขภาพกันสักนิดค่ะ ^^



ไปตรวจมะเร็งปากมดลูกปีละ 1-2 ครั้ง

รู้ไหม! สิวบอกอารมณ์และโรคร้ายได้

ตำแหน่งสิวบนผิวหน้า บ่งบอกอารมณ์และโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง สีหน้าและแววตา ใช้สื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ผิวหน้าของคนเราก็สามารถสื่อถึงสุขภาพภายในร่างกายได้เหมือนกัน


วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้น ด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิว Face Mapping กระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาความคิดเบื้องต้นที่ว่า "ผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบ ต่อผิวพรรณ" ทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพผิว

ผู้เชี่ยว ชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน
โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามี ปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่


โซน ที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง

โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด

โซน ที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน

โซน ที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด

โซน สุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง

นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้ รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้ว

Microsoft เตือนแอนตี้ไวรัส"ปลอม"เนียนมากๆ

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์ (Microsoft) กำลังเตือนผู้ใช้ว่า พบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ที่มีการทำงานซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถหลอกผู้ใช้ให้คลิกติดตั้งมันเข้าไปได้ เนื่องจากมัลแวร์ตัวนี้สามารถก็อปปี้หน้าตา และการแสดงผลแจ้งเตือนมัลแวร์ได้เหมือนของ MS มากๆ แถมยังตรวจสอบบราวเซอร์ว่าเป็น Firefox, Chrome หรื อ IE เพื่อให้หน้าต่างแจ้งเตือนเหมือนจริงมากๆ
สำหรับมัลแวร์ตัวนี้มีชื่อว่า Rogue:MSIL/Zeven โดยมันจะสามารถตรวจสอบว่า ผู้ใช้กำลังใช้บราวเซอร์ตัวไหน จากนั้นแสดงผลข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาให้ผุ้ใช้สแกนไวรัส และภัยคุกคาม ด้วยหน้าตาของหน้าต่างแจ้งเตือนที่ละม้ายคล้ายคลึงต้นฉบับมากๆ ทำให้เหยื่อตายใจคิดว่าเป็นของจริง คลิ้กให้มัลแวร์สแกนเครื่องก่อนแจ้งข่าวร้ายว่า พบมัลแวร์มากมาย แต่ไม่สามารถจัดการมัลแวร์ในเครื่องได้ นอกจากชำระเงินเพื่อซื้อเครื่องมือกำจัดไวรัสเวอร์ชันเต็ม

วิธีทำงานของมัลแวร์ตัวนี้ก็คือ มันจะแสดงไดอะล็อกบ๊อกซ์ที่ดูเป็นทางการมากๆ เพื่อให้ผู้ใช้คลิก หลังจากนั้นมัลแวร์จะหลอกว่ามันเป็นเครื่องมือของจริงจาก Windows และให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดอัพเดตระบบรักษาความปลอดภัย เปลี่ยนค่าตั้งต้นการทำงาน (preferences) ก่อนทีจะสแกนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ เมื่อสแกนเสร็จ (ซึ่งไม่ได้สแกนจริง) มันจะแสดงข้อความเตือนว่า มีไฟล์ต่างๆ มากมายที่โปรแกรมไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปได้ นอกจากผู้ใช้จะซื้อตัวกำจัดมัลแวร์ โดยมีลิงค์ให้ชำระค่าซอฟต์แวร์เสร็จสรรพ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไฟล์ที่แจ้งว่ามีไวรัสเหล่านั้น ไม่ได้มีอยู่ในเครื่องของผู้ใช้เลยด้วยซ้ำ แต่เหยื่อหลายรายก็หลงเชื่อ และยอมจ่ายเงินให้กับพวกมัน...เศร้า

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

เมื่อวันที่ 2 - 4 กันยายน  2553  ข้าพเจ้าได้ไปทัศนศึกษาที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ไปดูปราสาทต่าง ๆ ดูวิถีชีวิตของคนที่นั่น สิ่งที่ได้ดูได้เห็นคุ้มค่ามาก ทั้งปราสาทโดยเฉพาะนครวัด - นครธม และวิถีชีวิตของคนที่อยู่ในทะเลสาป  เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่เชื่อดูรูปพวกนี้ซิ หรือคลิกไปที่เว็บสายชั้น ป.๔ โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ ก็ได้