วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

กีฬา ร.ร.อนุบาลประจำจังหวัด ครั้งที่ ๒ จ.ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษ

ยิ้ม

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

"อัปสรา"ผู้เลอโฉมที่สุดในสยาม

http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317850
ภาพสลักนางอัปสราที่มีมากมายในปราสาทนครวัด
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       อัปสรา ในความคิดของใครหลายๆคน เธอดูเหมือนจะเป็นนางฟ้า แรกๆผมก็คิดอย่างนั้น กระทั่งได้รับรู้ตำนานการเกิดและวิถีทางสังคม(เทพ)ของนางอัปสรา ผมชักไม่แน่ใจซะแล้วสิ ว่าสถานะอย่างเธอสมควรเรียกว่านางฟ้าหรือเปล่า
      
       วิถีนางอัปสรา
      
       สำหรับความเป็นมาของ “นางอัปสราหรือนางอัปสร เกิดขึ้นในสมัยโบราณกาลนานนม ส่วนจะเป็นยุคไหน เก่าแก่แค่ไหน นานแค่ไหน ผมไม่รู้ แต่ตามตำนานระบุว่าเกิดขึ้นบนสวรรค์ในยุคทองของเทวดา(เทพ)และอสูร(ที่ไม่ผสมพันธุ์กันเป็นเทพเทือก(กึ่งเทพกึ่งอสูร)อย่างในประเทศสารฃัณฑ์)
      
       เทวดากับอสูรแม้จะเป็นอริศัตรูกัน แต่เทวดามักจะรบสู้อสูรไม่ได้ วันหนึ่งตัวแทนเทวดาจึงใช้ความเจ้าเล่ห์ เอาผลประโยชน์ก้อนโตมาล่อตัวแทนอสูร อสูรฟังแล้วตาโตเห็นดีเห็นงามด้วย ทั้งสองเมื่อสมยอมในผลประโยชน์(พฤติกรรมคล้ายนักการเมืองบ้านเรา)จึงพักรบชั่วคราว หันมาจับมือกันทำพิธี “กวนเกษียรสมุทธ โดยมีพระนารายณ์(พระวิษณุ)เป็นประธานผู้ควบคุมการทำพิธี เพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาดื่มกินสร้างความเป็นอมตะแก่เทวดาและอสูร
      
       การกวนเกษียรสมุทร ต้องให้พญานาควาสุกรี(พญานาค เศียร)ใช้ลำตัวมาเป็นเสมือนเชือก รัดพันรอบภูเขามัณธระ(เขาพระสุเมรุ)แล้วทั้งเทวดาและอสูรต่างช่วยกันยุดนาคคนละฟาก
      
       ฝ่ายเทพเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ออกอุบายว่า ฝ่ายใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลก(ไตรภพ)ให้มายุดทางฝั่งเศียร ฝ่ายอสูรหลงกลรีบเข้ายุดนาควาสุกรีทางฝั่งเศียรทันที ส่วนฝ่ายเทวดาเลือกไปยุดทางฝั่งหางแบบสบายใจ
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317851
ปราสาทศีขรภูมิ
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       เทพกับอสูรช่วยกันชักดึงภูเขามัณธระอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภูเขาหมุนกวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมทะเล ระหว่างทำพิธีพญานาควาสุกรีทั้งเจ็บ ทั้งอ่อนล้าจึงอ้าปากคายพิษออกมา พิษพญานาคทำให้หน้าอสูรเสียโฉมยับเยินดูหน้ากลัวดุร้ายมาจนถึงทุกวันนี้(ว่ากันว่าก่อนกวนเกษียรสมุทรเทวดาและอสูรมีหน้าตาหล่อเหลาพอๆกัน)
      
       อนึ่งการกวนเกษียรสมุทร ก่อให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างตามมา 10 กว่าอย่าง อาทิ ช้างเผือกเอราวัณ ต้นปาริชาติ สังข์ หริธนู พระนางลักษมีพร้อมดอกบัว ฯ รวมถึงนางอัปสราที่ถือกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทรครั้งนี้ด้วย
      
       โดยเรื่องมีอยู่ว่า ช่วงขณะหนึ่งของการทำพิธีภูเขามัณธระเกิดเอียงทรุดตัว ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงกายเป็นเต่าแหวกว่ายลงไปในในมหาสมุทรเพื่อหนุนเขามัณธระให้ตั้งตรงเหมือนเดิม ระหว่างนี้ส่งผลให้น้ำทะเลปั่นป่วน เกิดนางอัปสราผุดขึ้นมามากมายดังฟองคลื่น( บางตำราว่ากันว่ามีนางอัปสราผุดขึ้นมาถึง 35 ล้านนางเลยทีเดียว)
      
       สำหรับการกวนเกษียรสมุทรใช้เวลายาวนานนับพันไป สุดท้ายก็ได้น้ำอมฤตสมดังหวังของทั้ง ฝ่าย แต่ประทานโทษเทวดาเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ใช้กลอุบายล่อหลอกอสูรจนสามารถฮุบน้ำอมฤตไปดื่มแต่ฝ่ายเดียวได้ เพิ่มพลังให้ฝ่ายตนจนสามารถสยบอสูรลงได้(เหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากนี้ ก่อให้เกิดตำนานราหูอมพระจันทร์และพระอาทิตย์ตามมา)
      
       นับได้ว่าเหล่าเทวดาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกไม่เบา ปานประหนึ่งโจรใส่สูทที่มีมากมายในสังคมทุกวันนี้
      
       อัปสรา “ศรีขรภูมิ” โฉมงามแห่งสยาม
      
       การกวนเกษียรสมุทรแม้ก่อให้เกิดนางอัปสราผู้เลอโฉมมากมายทั้งรูปร่างหน้าตาและการแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่หลายคนบอกว่าเธอไม่สมควรเรียกว่านางฟ้า เพราะตามตำนานระบุถึงพฤติกรรมของนางอัปสราว่า เป็นพวกผู้หญิงที่ไม่เคยรักใครจริงจัง ชอบเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ(เอ...พฤติกรรมช่างคล้ายกับดาราสาวบางคนในบ้านเราเลย)เหล่าเทพและอสูรจึงเห็นนางอัปสราเป็นแค่นางบำเรอกามที่มีไว้เพื่อช่วยให้เสร็จสมอารมณ์หมายเท่านั้น
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317852
ทับหลังพระศิวะ ตอน
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       ในความเชื่อของใครและใครหลายๆคน นางอัปสราจึงเป็นแค่นางบำเรอกามมากว่าที่จะเป็นนางฟ้า
      
       ขณะที่อีกหนึ่งความเชื่อ เชื่อว่านางอัปสราคือนางฟ้าหรือเทพธิดาผู้รับใช้และคอยดูแลศาสนสถาน คล้ายกับความเชื่อของชาวขอมโบราณที่ยกย่องนับถือนางอัปสราว่าเป็นเทพธิดาผู้ดูแลศาสนสถานและเป็นเทพธิดาแห่งความดีงาม นั่นจึงทำให้มีภาพสลักนางอัปสรา ปรากฏอยู่ทั่วไปตามปราสาทโบราณในเขมร
      
       โดยเฉพาะนครวัด(สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เมืองเสียมเรียบ) มีรูปสลักนางอัปสราประดับประดาอยู่มากมาย อยู่ทุกซอกทุกมุม ซึ่งในปี พ.ศ. 2544 มีนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสและชาวเขมรร่วมกันใช้ความพยายาม(อย่างสูง)นับนางอัปสรา(อย่างเป็นทางการ)ในนครวัดได้มากถึงประมาณ 1,800 องค์เลยทีเดียว
      
       ทว่า...น่าแปลกที่ปราสาทขอมในบ้านเรา กลับหาภาพสลักนางอัปสราทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าปราสาทและเป็นองค์ประกอบศิลป์ของปราสาทขอมได้น้อยมาก ทอดตาทั้งแผ่นดินมีเพียง 2-3 แห่งเท่านั้น แต่ ในปราสาทจำนวนน้อยนิด มีภาพสลักหินนางอัปสราสุดสวยอยูนางที่ปราสาทศีขรภูมิ (ตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์)
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317853
อัปสรา ศีขรภูมิ นางซ้าย
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       นางอัปสราปราสาทศีขรภูมิ สลักจากฝีมือช่างโบราณชั้นครู ความงามสู้ภาพสลักนางอัปสราตามปราสาทขอมจำนวนมากในเขมรได้สบาย(จะเป็นรองก็แต่นางอัปสราที่นครวัดและปราสาทบันทายศรีเท่านั้น)จนได้ชื่อว่าเป็นนางอัปสราที่ได้ชื่อสวยที่สุดในเมืองไทย ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้มาเยือนปราสาทแห่งนี้กิตติศัพท์ในความงามของนางอัปสรา ทำให้ผมไม่รีรอออกเดินดุ่มๆมุ่งหน้าไปสู่ปราสาทปรางค์ประธานในทันที
      
       สำหรับปราสาทแห่งนี้ ตามข้อมูลระบุว่า สร้างขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทขอมที่สร้างผสมสานระหว่างศิลปะแบบบาปวนกับศิลปะแบบนครวัด เพื่อเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย(บูชาพระศิวะเป็นเทพสูงสุด) ตัวปราสาททั้งหมด มี องค์ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกันยกพื้นสูง
      
       การจะชมปราสาทแห่งนี้แบบพร้อมหน้าพร้อมตาครบทั้ง องค์ ให้ดูที่ด้านหน้าตรงกลางทางเดินสู่ปราสาท จากนั้นก็ขึ้นไปชมความงามของปราสาทประธานแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่ามีผลงานมาสเตอร์พีชระดับสุดยอดของเมืองไทยอยู่ อย่าง
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317854
อัปสรา ศีขรภูมิ นางขวา
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       อย่างแรกคือ ทับหลังที่ได้ชื่อว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย สลักเป็นเรื่องพระศิวะ ตอน คือ ศิวนาฏราชยืนอยู่บนหงส์ พระศิวะสู่กับอรชุน(ตอนหนึ่งจากมหาภารตะยุทธ) และพระศิวะลงไปปราบพระนารายณ์ที่ถูกพิษจากการอวตารเป็นนรสิงห์ไปปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ
      
       อย่างที่ อยู่ด้านล่าง ทับหลังพระศิวะ ตอน คือภาพสลักนางอัปสราที่ได้ชื่อว่าสวยและสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
      
       นางอัปสราที่นี่ มี นาง ยืนขนาบซ้ายและขวาของประตูองค์ปรางค์ ต่างแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามทั้ง นาง เอวคอดกิ่ว ทรวงอกเต่งตึง ไม่โชว์ถันอย่างนางอัปสราบางแห่ง และจุกไม่โผล่เหมือนดาราสาวบางคนในยุคนี้ พ.ศ.นี้
      
       นางทางซ้ายมือขวาหนึ่งถือดอกบัวด้านข้างหูซ้ายมีนกเกาะอยู่ นางทางขวามือขวาถือดอกไม้มีนกเกาะอยู่ข้างบนข้างหูด้านขวามีกระรอกวิ่งซุกซนอยู่
      
       นางอัปสราทั้ง สวมเครื่องทรงศีรษะอันสวยงามแตกต่างกันไป เหนือศีรษะขึ้นไปสลักเป็นลวดลายประดับดอกไม้และลายอื่นๆอย่างสวยงาม
      
       เธอทั้ง ยืนเอนตัวเล็กน้อยพองาม ตามลักษณะอันอรชรอ่อนช้อยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่เผยอให้เห็นไรฟัน ดูแล้วอิ่มเอมเพลินใจดีแท้ ที่สำคัญคือใบหน้าของนางทั้ง ดูสุขใจนัก เหมือนกับจะบอกให้โลกรับรู้ว่า พวกเธอต่างสุขใจที่ได้ทำหน้าที่เฝ้าปรนนิบัติองค์ศิวเทพ(พระศิวะ) ผู้เป็นใหญ่แห่งเทวสถานแห่งนี้
      
       สำหรับผมรอยยิ้มของนางอัปสราทั้งสอง ทำให้ผมต้องไขว้เขวในความคิดอีกครั้งว่า สถานนะของนางอัปสรา เธอสมควรที่จะเป็นนางบำเรอกามหรือสมควรที่จะเป็นนางฟ้าดี

ลดบริโภค'น้ำมัน'ไม่ขาดสารอาหารแนะหนทางประหยัด-สุขภาพดี


ปัญหา น้ำมันพืชราคาแพงจนเกิดการขาดแคลนดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อค้าแม่ขายรวมทั้งคุณพ่อบ้านแม่บ้านต่างพากันหัน ไปเลือกใช้ “น้ำมันหมู” แทนน้ำมันพืชเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งการบริโภคน้ำมันหมูแทนน้ำมันพืชนั้นประหยัดก็จริง แต่จะดีต่อสุขภาพหรือไม่อย่างไร...?!?

อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย กรมอนามัยและ สสส.และที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า น้ำมันเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะให้สารอาหารที่เรียกว่า “ไขมัน” ทำให้เกิดพลังงานที่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญไขมันยังนำวิตามินบางตัวที่อยู่ในอาหารซึ่งร่างกายรับประทานเข้าไป แล้วไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และวิตามินเค

แต่ ในปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากจนเกินไป จากสถิติพบว่าโดยเฉลี่ยเดือนหนึ่งคนไทยบริโภคน้ำมันพืชประมาณคนละ 1 ลิตร หรือประมาณคนละ 1.1 กิโลกรัม ถือว่าเป็นสถิติที่สูงมาก ความจริงแล้วเราควรบริโภคน้ำมันพืชต่อคนไม่เกิน 3-4 ช้อนโต๊ะ เพราะการบริโภคน้ำมันที่มากเกินไปจะทำให้มีโทษต่อร่างกาย น้ำมันส่วนเกินที่ใช้ไม่หมดเก็บไว้ในร่างกายมาก จะนำพาไปสู่โรคต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคความดัน

ฉะนั้น ในช่วงที่น้ำมันพืชขาดตลาดหรือมีราคาแพงนี้เราควรพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพราะในเมื่อปกติเรารับประทานน้ำมันพืชในปริมาณที่มากเกินไปอยู่แล้วก็ควรลด ปริมาณการบริโภคลง เพราะการที่เราขาดแคลนน้ำมันพืชนั้นไม่ได้ส่งผลให้เราขาดสารอาหารหรือถึงกับ เสียชีวิต ตรงกันข้ามกลับทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อหาน้ำมันมาปรุงอาหารอีกด้วย

อย่าง ไรก็ตามหลังจากที่ราคาน้ำมันพืชแพงขึ้นพ่อค้าแม่ค้าหรือแม้กระทั่งคุณแม่ บ้านเองกลับหันไปเลือกใช้น้ำมันอื่นทดแทนน้ำมันพืช โดยเฉพาะ “น้ำมันหมู” ที่เป็นน้ำมันจากสัตว์ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะน้ำมันหมูเท่านั้นแต่รวมถึง น้ำมันจากไก่ น้ำมันจากเนื้อวัวและน้ำมันจากสัตว์อื่น ๆ ด้วย โดยน้ำมันจากสัตว์เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูงและมีคอเลสเตอร อลสูงด้วย หากเรารับประทานไขมันจากสัตว์จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นและเป็น ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย

ในระยะหลัง ๆ นี้ ครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้น้ำมันหมูปรุงอาหารกันนานแล้ว หรืออาจยังมีคนที่นิยมใช้อยู่บ้าง อาจเป็นเพราะติดใจในรสชาติที่อร่อยและมีกลิ่นหอมกว่าน้ำมันพืช จวบจนปัจจุบันด้วยภาวะวิกฤติน้ำมันพืชแพงและขาดแคลน หลายคนจึงกลับไปใช้น้ำมันหมูกันอีก ซึ่งการบริโภคน้ำมันหมูให้ปลอดภัยนั้น ควรรับประทานในปริมาณที่เล็กน้อยไม่มากเกินไปไม่บ่อยเกินไป คือ ประมาณเดือนละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ เพราะในทุก ๆ มื้ออาหาร นอกจากเราจะได้น้ำมันหมูจากการใช้เนื้อหมูปรุงอาหารแล้ว ยังมีอีกทางที่ร่างกายได้รับน้ำมันจากสัตว์ด้วยนั่นก็คือ การบริโภคเนื้อสัตว์ในรูปแบบปิ้งย่าง ไม่ว่าจะเป็น หมูปิ้ง ไก่ย่าง ซึ่งก็ถือว่าเราได้รับน้ำมันจากสัตว์มากพอแล้วไม่ควรซ้ำเติมชีวิตด้วยการนำ น้ำมันหมูมาปรุงอาหารอีก

การเลือกรับประทานน้ำมันพืช นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ เพราะน้ำมันพืชแตกต่างจากน้ำมันสัตว์ตรงที่ไม่มีคอเลสเตอรอล แต่ถึงแม้จะไม่มีคอเลสเตอรอล การรับประทานที่มากเกินไปก็ถือเป็นการช่วยเพิ่มไขมันในร่างกายให้สูงขึ้นได้

ทั้งนี้ อาจารย์สง่า ได้แนะทางออกในการประหยัดเงินและส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยกัน 3 ทางคือ

ทางออกแรก พยายามลดการกินอาหารประเภททอดและผัดให้น้อยลงและหันไปกินอาหารประเภทต้ม ย่าง ยำ อบ นึ่งให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันที่ใช้ทอดและไม่ควรใช้น้ำมันทอดซ้ำหรือคุณแม่บ้านจะ ใช้ก็ไม่ควรเกิน 2 ครั้ง ที่สำคัญน้ำมันที่ใช้แล้วและจะนำมาใช้ครั้งที่ 2 ไม่ควรเก็บไว้ในภาชนะประเภทเหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เพราะจะไปเร่งการเสื่อมสลายของน้ำมันให้มากขึ้น

วิธีการเก็บน้ำมัน พืชควรเก็บไว้ให้พ้นจากแสงและความร้อน ไม่ควรเก็บไว้ข้าง ๆ เตาแก๊ส เพราะการที่น้ำมันถูกความร้อนจะทำให้วิตามินสูญหายไป โดยเฉพาะวิตามินอี

สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้ปรุงอาหารเองและยังอยากรับประทานอาหารประเภททอดและผัดอยู่ระวัง จะเจอพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มนำน้ำมันทอดซ้ำหลาย ๆ ครั้งมาปรุงอาหาร ซึ่งมีโทษคือทำให้เกิดสารโพลาร์ที่จะเพิ่มภาวะความดันโลหิตสูงและมีสารที่ ก่อมะเร็งอีก คือสารโพลีไซคิกอะโรเมติกและไฮโดรคาร์บอน ส่วนสารอีกตัวหนึ่งคือไขมันทรานส์ เกิดจากน้ำมันทอดซ้ำบ่อย ๆ ทำให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือดตีบและที่น่ากลัวมากคือน้ำมันที่ทอดซ้ำแล้วพ่อ ค้าแม่ค้ามักใส่ “สารเคมีฟอกสี” ให้ใสขึ้นเพื่อให้เราไม่สามารถสังเกตได้

ทางออกที่ 2 ถ้าเราอยากทอดหรือผัดอาหารก็พยายามใช้น้ำมันให้น้อยลง เช่น เจียวไข่เคยใช้ 3 ทัพพีให้ไข่ฟูก็ลดลงหรือจะทอดไก่หรือหมู อย่าทอดน้ำมันลอย เพื่อเป็นการประหยัดและเพื่อไม่ให้ร่างกายเราได้รับไขมันมากจนเกินไป

และทางออกที่ 3 ใช้น้ำมันอื่นมาทดแทนน้ำมันพืชที่ขาดตลาดได้ เช่น น้ำมันมะพร้าว หากกินในจำนวนที่พอดีก็จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากก็มีโทษเหมือนน้ำมันชนิดอื่น ๆ ฉะนั้นทางออกที่ 1 และ 2 ควรปฏิบัติให้บ่อยมากที่สุด

สรุปแล้วในภาวะน้ำมันพืชวิกฤติแบบ นี้อยากให้คนไทยลองฉวยโอกาสลดการบริโภคน้ำมันลงบ้าง เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นอีกด้วย.

.....................




น้ำมันชนิดต่าง ๆ เหมาะปรุงอาหารประเภทไหน...?

1. น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) โมเลกุลขนาดกลาง เช่น น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์มเคอร์เนิล ไม่เหมาะใช้ประกอบอาหารความร้อนสูง เพราะจุดเกิดควันค่อนข้างต่ำ

2. น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) โมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น น้ำมันปาล์ม เหมาะสำหรับการทอดอาหาร แทนน้ำมันจากไขมันสัตว์

3. น้ำมันที่มีกรดโอเลอิก (MUFA) ปริมาณมาก และมีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) ต่ำ ปัจจุบันมาจาก 2 แหล่งคือ พืชธรรมชาติอย่าง น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลาและน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันจากพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เช่น น้ำมันถั่วเหลืองกรดโอเลอิกสูงและกรดลิโนเลนิกต่ำ น้ำมันดอกคำฝอย กรดโอเลอิกสูง น้ำมันคาโนลากรดโอเลอิกสูง และน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันกรดโอเลอิกสูง เป็นต้น ทั้งหมดเหมาะกับการต้ม นึ่ง ผัด มากกว่าการทอดน้ำมันท่วม

4. น้ำมันที่มีกรดโอเลอิก (MUFA) และกรดไลโนลิอิก (PUFA) ในปริมาณใกล้เคียงกัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันงา เหมาะกับการประกอบอาหารทั่วไปที่ความร้อนไม่สูงเกินไป เพื่อคงสภาพกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย

5. น้ำมันที่มีกรดไลโนลิอิก (PUFA) มาก กรดโอเลอิก (MUFA) ปานกลาง และกรดลิโนเลอิกต่ำมาก เช่น น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพดและน้ำมันฝ้าย ซึ่งไม่เหมาะกับการทอดอาหารอย่างยิ่ง

6. น้ำมันที่มีกรดลิโนเลอิกในปริมาณมาก เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา ซึ่งไม่เหมาะกับการทอดอาหาร หรือใช้ความร้อนที่สูงเกินไปเช่นกัน

7. น้ำมันพืชหรือไขสัตว์ ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรจิเนชั่น (การเติมไฮโดรเจนให้อะตอมกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว) น้ำมันประเภทนี้จะมีจุดหลอมเหลว และจุดเกิดควันสูงขึ้น อย่างเช่น มาการีนและเนยขาว เหมาะกับการประกอบอาหารด้วยความร้อนสูง เช่น โดนัททอด ไก่ทอด ขนมอบ เค้ก และคุกกี้ เป็นต้น

(ข้อมูลจาก ผศ.ดร.ทิพยเนตร อริยปิติพันธ์ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ขวาน

ทื่อ

เบญจกัลยาณี

เบญจกัลยาณี (แปลว่า ผู้มีความงาม ประการ) หมายถึงสตรีผู้มีศุภลักษณ์หรือลักษณะที่งาม ประการ คือ
  1. ผมงาม คือมีผมเหมือนหางนกยูง เมื่อสยายออกทิ้งตัวลงมาถึงชายผ้า
  2. เนื้องาม คือมีริมฝีปากแดงเหมือนลูกตำลึงสุก เรียบสนิทมิดชิดดี
  3. ฟันงาม คือขาวเหมือนสังข์และเรียบเสมอเหมือนเพชรเรียง
  4. ผิวงาม คือถ้าผิวดำก็ดำสม่ำเสมอเหมือนดอกอุบล ถ้าขาวก็ขาวเหมือนกลีบดอกกรรณิการ์
  5. วัยงาม คืองามทุกวัย แม้คลอดบุตรมาแล้ว 10 ครั้งก็ยังดูสาวพริ้งอยู่
ตำนานว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นเบญจกัลยาณีคนหนึ่งในสมัยพุทธกาล

 อ้างอิง

ประวัติ นางวิสาขา

 
นางวิสาขา 
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายิกา
   เกิดในตระกูลเศรษฐีในเมืองภัททิยะ แคว้นอังคะ บิดาชื่อว่าธนญชัย มารดาสุมนาเทวี และปู่ชื่อเมณฑกเศรษฐี ขณะที่เธอมีอยู่ในวัย ๗ ขวบ เป็นที่รักดุจแก้วตาดวงใจของเมณฑกะผู้เป็นปู่ยิ่งนัก

๗ ขวบบรรลุโสดาบัน 
  เมื่อเมณฑกเศรษฐีได้ทราบข่าวว่า พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากกำลังเสด็จมาสู่เมืองภัททิยะ ท่านเมณฑกเศรษฐี จึงได้มอบหมายให้เด็กหญิงวิสาขาพร้อมด้วยบริวาร ออกไปทำการรับเสด็จที่นอกเมือง ขณะที่พระพุทธองค์ประทับพักผ่อนพระอริยบทอยู่นั้น เด็กหญิงวิสาขาพร้อมด้วยบริวาร เข้าไปเฝ้ากราบถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่อันสมควรแก่ตน พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้พวกเธอฟัง เมื่อจบลงก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยกันทั้งหมด

  ส่วนเมณฑกเศรษฐี เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาถึงแล้วจึงรีบเข้าไปเฝ้าได้ฟังพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกัน แล้วกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ที่ติดตามเสด็จทั้งหมดเข้าไปรับอาหารบิณฑบาต ณ ที่บ้านของตนตลอดเวลาระยะ ๑๕ วันที่ประทับอยู่ที่ภัททิยนครนั้น
  สมัยนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งเมืองสาวัตถี และพระเจ้าพิมพิสารแห่งเมืองราชคฤห์ มีความเกี่ยวข้องกันโดยต่างก็ได้ภคิณี ( น้องสาว ) ของกันและกันมาเป็นมเหสี แต่เนื่องจากเมืองสาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ไม่มีเศรษฐีตระกูลใหญ่ ๆ ผู้มีทรัพย์สมบัติมากเลย และได้ทราบว่าในเมืองราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสารนั้น มีเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติขนาดนับไม่ถ้วนอยู่ถึง ๕ คน
  ดังนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเสด็จมายังเมืองราชคฤห์ เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารแล้วแจ้งความประสงค์ที่มาในครั้งนี้ ก็เพื่อของพระราชทานตระกูลเศรษฐีในเมืองราชคฤห์นี้ไปอยู่ในเมืองสาวัตถีสักหนึ่งตระกูล
  พระเจ้าพิมพิสารได้สดับแล้วตรัสตอบว่า “ การโยกย้ายตระกูลใหญ่ ๆ เพียงหนึ่งตระกูลก็เหมือนกับแผ่นดินทรุด” แต่เพื่อรักษาสัมพันธไมตรีต่อกันไว้ หลังจากที่ได้ปรึกษากับอำมาตย์ทั้งหลายแล้ว เห็นฟ้องต้องกันว่าสมควรยกตระกูลธนญชัยเศรษฐี ให้ไปอยู่เมืองสาวัตถีกับพระเจ้าปเสนทิโกศล
  ธนญชัยเศรษฐีได้ขนย้ายทรัพย์สมบัติพร้อมทั้งบริวารและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายเดินทางสู่พระนครสาวัตถีพร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล และเมื่อเดินทางเข้าเขตแคว้นของพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้ว ขณะที่พักค้างแรมระหว่างทางก่อนเข้าเมือง ธนญชัยเศรษฐีเห็นว่าภูมิประเทศบริเวณที่พักนั้นเป็นชัยภูมิเหมาะสมดี
  อีกทั้งตนเองก็มีบริวารติดตามมาเป็นจำนวนมาก ถ้าไปตั้งบ้านเรือนภายในเมืองก็จะคับแคบ จึงขออนุญาตพระเจ้าปเสนทิโกศลก่อตั้งบ้านเรือน ณ ที่นั้น และได้ชื่อเมืองใหม่ว่า สาเกต” ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถี ๗ โยยช์

หญิงงามเบญจกัลยาณี

    ในเมืองสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีตระกูลหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า มิคารเศรษฐี มีบุตรชายชื่อว่า ปุณณวัฒนกุมาร เมื่อเจริญวัยสมควรที่จะมีภรรยาได้แล้ว บิดามารดาขอให้เขาแต่งงานเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล แต่เขาเองไม่มีความประสงค์จะแต่งงาน เมื่อบิดามารดารบเร้ามากขึ้น เขาจึงหาอุบายเลี่ยงโดยบอกบิดารมารดาว่า ถ้าได้หญิงที่มีความงามครบทั้ง ๕ อย่าง ซึ่งเรียกว่า เบญจกัลยาณี แล้วจึงยอมแต่งงาน

  เบญจกัลยาณี . ความงามของสตรี ๕ อย่างคือ
   ๑. เกสกลฺยาณํ ผมงาม คือหญิงที่มีผมยาวถึงสะเอวแล้วปลายผมงอนขั้น
  ๒. มงฺสกลฺยาณํ เนื้องาม คือหญิงที่มีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี
  ๓. อฎฺฐกลฺยาณํ กระดูกงาม คือหญิงที่มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน
  ๔. ฉวิกลํยาณํ ผิวงาม คือหญิงที่มีผิวงามละเอียด ถ้าดำก็ดำดังดอกบัวเขียว ถ้าขาวก็ขาวดังดอกกรรณีกา
  ๕. วยกลฺยาณํ วัยงาม คือหญิงที่แม้จะคลอดบุตรถึง ๑๐ ครั้ง ก็ยังคงสภาพร่างกายสาวสวยดุจคลอดครั้งเดียว
  บิดามารดาเมื่อได้ฟังแล้วจึงให้เชิญพราหมณ์ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้าน อิตถีลักษณะมาถามว่า หญิงผู้มีความงามดังกล่าวนี้มีหรือไม่ เมื่อพวกพราหมณ์ตอบว่ามี จึงส่งพราหมณ์เหล่านั้นออกเที่ยวแสวงหาตามเมืองต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบพวงมาลัยและเครื่องทองหมั้นไปด้วย

ชน ๔ พวกเมื่อวิ่งจะดูไม่งาม

  พวกพราหมณ์ที่เที่ยวแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ ทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่จนมาถึงเมืองสาเกต ได้พบนางวิสาขามีลักษณะภายนอกถูกต้องตามตำราอิตถีลักษณะครบทุกประการ ขณะที่นางพร้อมทั้งหญิงบริวารออกมาเที่ยวเล่นน้ำกันที่ท่าน้ำ ขณะนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก หญิงบริวารทั้งหลายพากันวิ่งหลบหนีฝนเข้าไปในศาลา แต่นางวิสาขายังคนเดินไปด้วยอาการปกติ ทำให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายรู้สึกแปลกใจประกอบกับต้องการจะเห็นลักษณะฟันของนางด้วยจึงถามนางว่า “ ทำไม เธอจึงไม่วิ่งหลบหนีฝนเหมือนกับหญิงอื่น ๆ” นางวิสาขาตอบว่า ชน ๔ พวกเมื่อวิ่งจะดูไม่งาม ได้แก่..

   ๑. พระราชา ผู้ทรงประดับด้วยเครื่องอาภรณ์พร้อมสรรพ
  ๒. บรรพชิต ผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์
  ๓. สตรี ผู้ชื่อว่าเป็นหญิงทั้งหลาย ( นอกจากจะดูไม่งามแล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุจนเสียโฉม หรือพิการ จะทำให้เสื่อมเสียและหมดคุณ่า)
  ๔. ช้างมงคล ตัวประดับด้วยเครื่องอาภรณ์สำหรับช้าง
  พวกพราหมณ์ได้เห็นปัญญาอันชาญฉลาด และคุณสมบัติเบญกัลยาณีครบทุกประการแล้ว จึงขอให้นางพาไปที่บ้านเพื่อทำการสู่ขอต่อพ่อแม่ตามประเพณี เมื่อสอบถามถึงชาติตระกูลและทรัพย์สมบัติก็ทราบว่า มีเสมอกัน จึงสวมพวงมาลัยทองให้นางวิสาขาเป็นการหมั้นหมายและกำหนดวันวิวาหมงคล
  ธนญชัยเศรษฐี ได้สั่งให้ช่างทองทำเครื่องประดับชื่อ มหาลดาปสาธน์ เพื่อมอบให้แก่ลูกสาว ซึ่งเป็นเครื่องประดับชนิดพิเศษ เป็นชุดยาวติดต่อกันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ประกอบด้วยเครื่องเงินทองและรัตนอันมีค่าถึง ๙ โกฏิกหาปณะ ค่าแรงฝีมือช่างอีก ๑ แสน เป็นเครื่องประดับที่หญิงอื่น ๆ ไม่สามารถจะประดับได้เพราะมีน้ำหนักมาก นอกจากนี้ ธนญชับเศรษฐี ยังได้มอบทรัพย์สินเงินทองของให้ต่าง ๆ รวมทั้งข้าทาสบริวารและฝูงโคอีกจำนวนมากมานมหาศาล อีกทั้งส่งกุฏุมพีมีความชำนาญพิเศษด้านต่าง ๆ ไปเป็นที่ปรึกษาดูแลประจำตัวอีก ๘ นายด้วย

ธนญชัยเศรษฐีให้โอวาทลูกสาว 

 ก่อนที่นางวิสาขาจะไปสู่ตระกูลของสามี ธนญชัยเศรษฐีได้อบรมมารยาทสมบัติของตระกูลสตรีผู้ไปสู่ตระกูลของสามี โดยให้โอวาท ๑๐ ประการ เป็นแนวปฏบัติ คือ..

   โอวาทข้อที่ ๑ ไฟในอย่านำออก หมายความว่า อย่านำความไม่ดีของพ่อผัวแม่ผัวและสามีออกไปพูดให้คนภายนอกฟัง
  โอวาทข้อที่ ๒ ไฟนอกอย่านำเข้า หมายความว่า เมื่อคนภายนอกตำหนิพ่อผัวแม่ผัวและสามีอย่างไร อย่านำมาพูดให้คนในบ้านฟัง
  โอวาทข้อที่ ๓ ควรให้แก่คนที่ให้เท่านั้น หมายความว่า ควรให้แก่คนที่ยืมของไปใช้แล้วนำมาส่งคืน
  โอวาทข้อที่ ๔ ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่ให้ หมายความว่า ไม่ควรให้แก่คนที่ยืมของไปใช้แล้วไม่นำมาส่งคืน
  โอวาทข้อที่ ๕ ควรให้ทั้งแก่คนคนที่ให้และไม่ให้ หมายความว่า เมื่อมีญาติมิตรผู้ยากจนขอความช่วยเหลือพึ่งพาอาศัย เมื่อให้ไปแล้วจะให้คืนหรือไม่ให้คืน ก็ควรให้
  โอวาทข้อที่ ๖ พึงนั่งให้เป็นสุข หมายความว่า ไม่นั่งในที่กีดขวางของพ่อผัว แม่ผัวและสามี
  โอวาทข้อที่ ๗ พึงบริโภคให้เป็นสุข หมายความว่า ควรจัดให้พ่อผัว แม่ผัวและสามีบริโภคแล้ว ตนจึงบริโภคภายหลัง
  โอวาทข้อที่ ๘ พึงบำเรอไฟ หมายความว่า ให้มีความสำนึกอยู่เสมอว่า พ่อผัว แม่ผัวและสามีเป็นเหมือนดวงไฟและพญานาคที่จะต้องบำรุงดูแล
  โอวาทข้อที่ ๑๐ พึงนอบน้อมเทวดาภายใน หมายความว่า ให้มีความสำนึกอยู่เสมอว่า พ่อผัว แม่ผัว และสามีเป็นเหมือนเทวดาที่จะต้องให้ความนอบน้อม

อานิสงส์ของการทำบุญแล้วแถม

  ธนญชัยเศรษฐี ใช้เวลาถึง ๔ เดือนในการเตรียมทรัพย์สมบัติเพื่อมอบให้แก่นางวิสาขา สำหรับใช้สอยเมื่อไปอยู่ในตระกูลของสามี เฉพาะเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์เพียงอย่างเดียวก็ใช้เวลาทำถึง ๔ เดือนเช่นเดียวกัน เมื่อถึงกำหนดนางวิสาขาก็ได้ออกเดินทางไปยังตระกูลของสามี พร้อมด้วยข้าทาสบริวารทรัพย์สินเงินทองของใช้อเนกอนันต์ และโคกระบืออีกมากมายมหาศาล ที่บิดาจัดการมอบให้

  แม้กระนั้น โคกระบือของชาวบ้านที่อยู่ในคอกยังทำลายวิ่งออกตามขบวนของนางวิสาขาไปอีกจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพราะด้วยอานิสงส์แห่งการทำบุญถวายทานที่นางทำไว้ในอดีตชาติ คือ ในครั้งที่นางวิสาขาเกิดเป็นธิดาของพระเจ้ากิกิ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ นางได้ถวายอาหารแก่พระภิกษุสามเณรเป็นประจำและทั้ง ๆ ที่พระภิกษุสามเณรกล่าวว่า “ พอแล้ว ๆ” นางก็ยังตรัสว่า “ พระเจ้าคุณเจ้าสิ่งนี้อร่อย สิ่งนี้น่าฉันแล้วก็ถวายเพิ่มอีก ด้วยอนิสงส์แห่งการถวายเพิ่มนี้บันดาลให้โคเหล่านั้นถึงแม้จะมีคนห้ามมีคอกกั้นอยู่ก็ยังกระโดดออกจากคอกวิ่งตามขบวนของนางวิสาขาไปอีกจำนวนมาก

นางวิสาขาตำหนิพ่อผัว

  เมื่อนางวิสาขาเข้ามาสู่ตระกูลของสามีแล้ว เพราะความที่เป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีตั้งแต่วัยเด็ก และเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลี่ยวฉลาด มีน้ำใจเจรจาไพเราะ ให้ความเคารพผู้ที่มีวัยสูงกว่าตน จึงเป็นที่รักใคร่และชอบใจของคนทั่วไป ยกเว้นมิคารเศรษฐีบิดาของสามี ซึ่งมีจิตศรัทธาฝักใฝ่ในนักบวชอเจลกชีเปลือย

  โดยให้ความเคารพนับถือว่าเป็นพระอรหันต์ และนิมนต์ให้มาบริโภคโภชนาหารที่บ้านของตนแล้ว สั่งให้คนไปตามนางวิสาขามาไหว้พระอรหันต์และให้มาช่วยจัดงานเลี้ยงอาหารแก่อเจลกชีเปลือยเหล่านั้นด้วย
  นางวิสาขา ผู้เป็นพระอริยสาวิกาชั้นโสดาบันพอได้ยินคำว่า อรหันต์ ก็รู้สึกปีติยินดีรีบมายังเรือนของมิคารเศรษฐี แต่พอได้เห็นอเจลกชีเปลือย ก็ตกใจจึงกล่าวว่า ” ผู้ไม่มีความละอาย เหล่านี้ จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ” พร้อมทั้งกล่าวติเตียนมิคารเศรษฐีแล้วกลับไปที่อยู่ของตน
  ต่อมาอีกวันหนึ่ง ขณะที่มิคารเศรษฐีกำลังบริโภคอาหารอยู่ โดยมีนางวิสาขาคอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ได้มีพระเถระเที่ยวบิณฑบาตผ่านมาหยุดยืนที่หน้าบ้านของมิคารเศรษฐี นางวิสาขาทราบดีว่าเศรษฐีแม้จะเห็นพระเถระแล้วก็ทำเป็นไม่เห็น นางจึงกล่าวกับพระเถระว่า “ นิมนต์พระคุณเจ้าไปข้างก่อนก่อนเถิดท่านเศรษฐีกำลังบริโภคของเก่าอยู่ 
  เศรษฐี ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงโกรธเป็นที่สุด หยุดบริโภคอาหารทันทีแล้วสั่งให้บริวารมาจับและขับไล่นางวิสาขาให้ออกจากบ้านไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาจับ นางวิสาขาขอชี้แจงแก่กุฏุมพี ๘ นายที่พ่อส่งมาช่วยดูแลนางก่อน และเมื่อมิคารเศรษฐีให้คนไปเชิญกุฏุมพีมาแล้วแจ้งโทษของนางวิสาขาให้ฟัง ซึ่งนางก็แก้ด้วยคำว่า “ ที่ดิฉันกล่าวอย่างนั้น หมายถึง มิคารเศรษฐีบิดาสามีบริโภคบุญเก่าอยู่ มิใช่บริโภคของบูดเน่าอย่างที่เข้าใจ” กุฎุมพีทั้ง ๘ จึงกล่าวกับเศรษฐีว่า “ เรื่องนี้นางวิสาขาไม่มีความผิด

พ่อผัวยกย่องนางวิสาขาในฐานะมารดา

  เมื่อมิคารเศรษฐี ฟังคำชี้แจงของลูกสะใภ้แล้วก็หายโกรธขัดเคือง และกล่าวขอโทษนาง พร้อมทั้งอนุญาตให้นางนิมนต์พระบรมศาสดาพร้อมภิกษุสงฆ์มารับอาหารบิษฑบาตในเรือนของตน ขณะที่นางวิสาขาจัดถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์อยู่นั้น ก็ได้ให้คนไปเชิญมิคารเศรษฐีมาร่วมถวายภัตตาหารด้วย

  แต่เศรษฐีเมื่อมาแล้วไม่กล้าที่จะออกไปสู่ที่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดา เพราะไม่มีศรัทธาเลื่อมใสจึงแอบนั่งอยู่หลังม่าน เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา ส่วนมิคารเศรษฐีแม้จะหลบอยู่หลัวม่านก็มีโอกาสได้ฟังธรรมด้วยจนจบ และก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลในพุทธศาสนา เป็นสัมมาทิฏฐิกบุคคลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
  ทันใดนั้น มิคารเศรษฐีได้ออกมาจากหลังม่านแล้วตรงเข้าไปหานางวิสาขาใช้ปากดูดถันของลูกสะใภ้ และประกาศให้ได้ยินทั่วกัน ณ ที่นั้นว่า “ ตังแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอเธอจงเป็นมารดาของข้าพเจ้า” และตั้งแต่นั้นมานางวิสาขาก็ได้นามว่า“ มิคารมารดา” คนทั่วไปนิยมเรียกชื่อนางว่า “ วิสาขามิคารมารดา

คุณสมบัติพิเศษประจำตัวนางวิสาขา

  ในบรรดาอุบาสิกาทั้งหลาย นางวิสาขานับว่าเป็นผู้มีบุญสั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติมากเป็นพิเศษกว่าอุบาสิกาคนอื่น ๆ หลายประการ เช่น..

   ๑ . ลักษณะของผู้มีวัยงาม คือ แม้ว่านางจะมีอายุมาก มีลูกชาย-ลูกหญิง ถึง ๒๐ คน ลูกเหล่านั้นแต่งงานมีลูกอีกตั้งคนละ ๒๐ คน นางก็มีหลานนับได้ ๔๐๐ คน หลานเหล่านั้นแต่งงานมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน นางวิสาขามีเหลนนับได้ ๘,๐๐๐ คน ดังนั้น คนจำนวน ๘,๔๒๐ คน มีต้นกำเนิดมาจากนางวิสาขา นางมีอายุยืน ได้เห็นหลานเหลนทุกคน แม้นางมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่ขณะเมื่อนางนั่งอยู่ในกลุ่มของลูก หลาน เหลน นางจะมีลักษณะวัยใกล้เคียงกับคนเหล่านัน คนพวกอื่นไม่สามารถทราบได้ว่า นางวิสาขาคือคนไหน แต่สังเกตได้เมื่อเวลาจะลุกขึ้นยืน ธรรมดาคนหนุ่มสาวจะลุกขึ้นได้ในทันที แต่สำหรับคนแก่จะต้องใช้มือยันพื้นช่วยพยุงกาย และจะยกก้นขึ้นก่อน นั้นแหละจึงจะทราบว่า นางวิสาขาคือคนไหน
  ๒ . นางมีกำลังมาเท่ากับช้าง ๕ เชื่อกรวมกัน ครั้งหนึ่ง พระราชามีพระประสงค์จะทดลองกำลังของนาง จึงรับสั่งให้ปล่อยช้างพลายตัวที่กำลังมากเพื่อให้วิ่งชนนางวิสาขา นางเห็นช้างวิ่งตรงเข้ามา จึงคิดว่า “ ถ้าเราจับช้างนี้ด้วยมือข้างเดียวแล้วผลักไป ช้างนี้ก็จะเป็นอันตลายถึงชีวิต เราก็จะบาป ควรรักษาชีวิตช้างไว้จะดีกว่า ” นางจึงใช้นิ้วเพียงสองนิ้วจับช้างที่งวงแล้วเหวี่ยงไปปรากฏว่าช่างถึงกับล้มกลิ้ง แต่ก็ไม่เป็นอันตราย
  ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ชนทั้งหลายเมื่อจัดงานมงคลในบ้านเรือนของตนจึงพากันเชิญนางวิสาขาให้ไปเป็นประธานในงาน มอบให้นางเป็นผู้นำในพิธีต่าง ๆ แม้แต่อาหารก็ให้นางทานก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล จนนางวิสาขาไม่มีเวลาปฏิบัติพระภิกษุที่มาฉันในบ้านของตน ต้องมอบให้ลูก ๆ หลาน ๆ ดำเนินการให้

นางวิสสาขาร้องไห้อาลัยหลาน

  สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม ซึ่งนางวิสาขาเป็นผู้สร้างถวาย ใกล้กรุงสาวัตถี ขณะนั้น หลานสาวชื่อว่าสุทัตตีผู้เป็นที่รักเป็นที่พอใจอย่างยิ่งได้ถึงแก่กรรมลง ทำให้นางเศร้าโศกเสียใจร้องไห้รำพันถึงหลานรัก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้ง ๆ ที่กำลังร้องไห้อยู่ด้วย พระพุทธองค์ตรัสถามเหตุแห่งความเศร้าโศก ทรงทราบโดยตลอดแล้ว จึงตรัสถามว่า..

   “ ดูก่อนวิสาขา ในพระนครสาวัตถีนี้ เธอต้องการบุตรหลานสักกี่คน ?”
  “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ต้องการบุตรหลานในพระนครนี้ทั้งหมด พระเจ้าข้า
   “ ดูก่อนวิสาขา ก็ในพระนครสาวัตถีนี้ มีคนตายวันละเท่าไร ?”
  “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในพระนครสาวัตถีนี้ มีคนตายวันละ ๑ คนบ้าง ๒ คนบ้าง ถึงวันละ ๑๐ คนบ้าง พระเจ้าข้า
  “ ดูก่อนวิสาขา ถ้าคนเหล่านั้นเป็นบุตรหลานของเธอจริง เธอก็คงมีหน้าเปียกชุ่มด้วยน้ำตาโดยไม่มีวันแห้งเหือดวิสาขา คนในโลกนี้ ผู้ใดมีสิ่งเป็นที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็จะมีทุกข์ถึง ๑๐๐ ผู้ใดมีสิ่งที่เป็นที่รัก ๕๐ ผู้นั้นก็จะมีทุกข์ถึง ๕๐ เช่นกัน และถ้าผู้ใดมีสิ่งเป็นที่รักเพียง ๑ เดียว ผู้นั้นก็จะมีทุกข์เพียง ๑ เดียวเช่นกัน
  “ ดูก่อนวิสาขา เราขอบอกเธอว่า ความทุกข์ ความเศร้าโศก ความพิไรรำพันที่คนทั้งหลายประสบกันอยู่ในโลกนี้ ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ถ้าไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักแล้ว ความทุกข์ ความเศร้าโศก ความพิไรรำพันเหล่านั้นก็ไม่มี ผู้นั้นก็จะมีแต่ความสุข ดังนั้น ผู้ปรารถนาความสุขให้กับตนเอง ก็ไม่ควรทพสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก
  นางวิสาขา เมื่อได้ฟังพระพุทธดำรัสสอนจบลงแล้ว ก็คลายจากความเศร้าโศก แต่เพราะความที่นางมีลูกหลานหลายคน ซึ่งต่อจากนั้นอีกไม่นานนักหลานสาวอีกคนหนึ่ง ที่นางได้มอบหมายหน้าที่ประจำก็ได้ถึงแก่ความตายลงอีก นางวิสาขาก็ต้องเสียน้ำตาร่ำไห้ด้วยความรักอาลัยต่อหลานสาวเป็นครั้งที่สอง และพระพุทธองค์ก็ทรงเทศนาโปรดนางให้คลายความเศร้าโศกลงดุจเดียวกับครั้งก่อน

นางวิสาขาสร้างวัด

  โดยปกตินางวิสาขาจะไปวัดวันละ ๒ ครั้ง คือ เช้า- เย็น และเมื่อไปก็จะไม่ไปมือเปล่า ถ้าไปเวลาเช้าก็จะต้องมีของเคี่ยวของฉันเป็นอาหารไปถวายพระ ถ้าไปเวลาเย็นก็จะถือน้ำปานะไปถวาย เพราะนางมีปกติทำอย่างนี้เป็นประจำ จนเป็นที่ทราบกันดีทั้งพระภิกษุสามเณรและอุบาสิกาทั้งหลาย แม้นางเองก็ไม่กล้าที่จะไปวัดด้วยมือเปล่า ๆ เพราะละอายที่พระภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยต่างก็จะมองดูที่มือว่านางถืออะไรมา และก่อนที่นางจะออกจากวัดกลับบ้าน นางจะเดินเยี่ยมเยือนถามไถ่ความสุข ความทุกข์ และความประสงค์ของพระภิกษุสามเณร และเยี่ยมภิกษุไข้จนทั่วถึงทุก ๆ องค์ก่อนจึงกลับบ้าน

  วันหนึ่ง เมื่อนางมาถึงวัด นางได้ถอดเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์มอบให้หญิงสาวผู้ติดตามถือไว้ เมื่อเสร็จกิจการฟังธรรมเเละเยี่ยมเยือนพระภิกษุสามเณรแล้วขณะเดินกลับบ้านนางได้บอกให้หญิงรับใช้ส่งเครื่องประดับให้ แต่หญิงรับใช้ลืมไว้ที่ศาลาฟังธรรม นางจึงบอกให้กลับไปนำมา แต่สั่งว่า ถ้าพระอานนท์เก็บรักษาไว้ก็ไม่ต้องเอามาคืนมา ให้มอบถวายท่านไปเลย เพราะนางคิดว่าจะไม่ประดับเครื่องประดับที่พระคุณเจ้าถูกต้องสำผัสแล้ว ซึ่งพระอานนท์ท่านก็มักจะเก็บรักษาของที่อุบาสกอุบาสิกาลือไว้เสมอ
  และได้เป็นไปตามที่นางคิดไว้จริง ๆ แต่นางก็กลับคิดได้อีกว่า “ เครื่องประดับนี้ไม่มีประโยชน์แก่พระเถระ” ดังนั้นนางจึงขอรับคืนมาแล้วนำออกขายในราคา ๙ โกฏิ กับ ๑ แสนกหาปณะ ตามราคาทุนที่ทำไว้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดมีทรัพย์พอที่จะซื้อเอาไว้ได้ นางจึงต้องซื้อเอาไว้เอง ด้วยการนำทรัพย์เท่านั้นมาซื้อที่ดินและวัสดุก่อสร้าง ดำเนินการสร้างถวายเป็นพระอารามที่ประทับของพระบรมศาสดา และเป็นที่อยู่อาศัยจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์สามเณร พระบรมศาสดา รับสั่งให้พระมหาโมคคัลลนะ เป็นผู้อำนวยการดูแลการก่อสร้าง ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาท ๒ ชั้น มีห้องสำหรับพระภิกษุพักอาศัยชั้นละ ๕๐๐ ห้อง โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง ๙ เดือน และเมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นามว่า “ พระวิหารบุพพาราม

เพราะพระเปลือยกายจึงถวายผ้าอาบน้ำฝน

  โดยปกตินางวิสาขา จะกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของนางเป็นประจำ เมื่อการจัดเตรียมภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้สาวใช้ไปกราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ให้เสด็จไปยังบ้านของนาง

  วันหนึ่ง สาวใช้ได้มาตามปกติเหมือนทักวัน แต่วันนั้นมีฝนตกลงมาพระสงฆ์ทั้งหลาย จึงพากันเปลือยกายอาบน้ำฝน เมื่อสาวใช้มาเห็นเข้าก็ตกใจเพราะความที่ตนมีปัญญาน้อยคิดว่าเป็นนักบวชชีเปลือย จึงรีบไปแจ้งแก่นางวิสาขาว่า
  “ ข้าแต่แม่เจ้า วันนี้ที่วัดไม่มีพระอยู่เลย เห็นมีแต่ชีเปลือยแก้ผ้าอาบน้ำ กันอยู่ 
  นางวิสาขา ได้ฟังคำบอกเล่าของสาวใช้ เพราะความที่นางเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน เป็นพระหมาอุบาสิกา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใส มีความใกล้ชิดกับพระภิกษุสงฆ์ จึงทราบเหตุการณ์โดยตลอดว่า พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสำหรับใช้สอยเพียง ๓ ผืน คือ ผ้าจีวรสำหรับห่ม ผ้าสังฆาฏิสำหรับห่มซ้อน และผ้าสบงสำหรับนุ่ง ดังนั้น เมื่อเวลาพระภิกษุจะอาบน้ำจึงไม่มีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ ก็จำเป็นต้องเปลือยกายอาบน้ำ
  อาศัยเหตุนี้ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาประทับที่บ้านและเสร็จภัตกิจแล้วนางวิสาขาจึงได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาตตามที่ขอนั้น นางวิสาขาก็เป็นบุคคลแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์

พระภิกษุคิดว่านางเป็นบ้า

  นางวิสาขา ได้ชื่อว่าเป็นมหาอุบาสกาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นยอดแห่งอุปัฏฐายิกาทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยวัตถุจตุปัจจัยไทยทานต่าง ๆ ทั้งที่ถวายเป็นของสงฆ์ส่วนรวม และถวายเป็นของสงฆ์ส่วนบุคคลคือแก่ภิกษุแต่ละองค์ ๆ การทำบุญของนางนับว่าครบถ้วนทุกประการตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ดังคำที่นางเปล่งอุทานในวันฉลองวิหาร คือวัดบุพพาราม ที่นางสร้างถวายนั้นด้วยคำว่า..

  “ ความปรารถนาใด ๆ ที่เราตั้งไว้ในกาลก่อน ความปรารถนานั้น ๆ ทั้งหมดของเราได้สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการแล้ว
  ความปรารถนาเหล่านั้นคือ...
   ๑. ความปรารถนาที่จะสร้างปราสาทฉาบด้วยปูนถวายเป็นพระวิหารทาน
  ๒. ความปรารถนาที่จะถวายเตียง ตั่ง ฟูก หมอน และเสนาสนภัณฑ์
  ๓. ความปรารถนาที่ะถวายสลากภัตเป็นโภชนทาน
  ๔. ความปรารถนาที่จะถวายผ้ากาสาสิกพัสตร์ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย เป็นจีวรทาน
  ๕. ความปรารถนาที่จะถวายเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัชทาน
  ความปรารถนาเหล่านั้นของนางวิสาขาสำเร็จครอบถ้วนทุกประการ สร้างความเอิบอิ่มใจแก่นางยิ่งนัก นางจึงเดินเวียนรอบปราสาทอันเป็นวิการทานพร้อมทั้งเปล่งอุทานดังกล่าว
  พระภิกษุทั้งหลาย ได้เห็นกิริยาอาการของนางวิสาขาแล้ว ต่างก็รู้สึกประหลายใจ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง จึงพร้อมใจกันเข้าไปกราบทูลถามพระบรมศาสดาว่า
  “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตั้งแต่ได้พบเห็นและรู้จักนางวิสาขามาก็เป็นเวลานานพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่เคยเห็นนางขับร้องเพลงและแสดงอาการอย่างนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้ นางอยู่ในท่ามกลางการแวดล้อมของบรรดาบุตรธิดาและหลาน ๆ ได้เดินเวียนรอบปราสาทและบ่นพึมพำคล้ายกับร้องเพลง เข้าใจว่าดีของนางคงจะกำเริบ หรือไม่นางก็คงจะเสียจริตไปแล้วหรืออย่างไร พระเจ้าข้า ?”
  พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
  “ ภิกษุทั้งหลาย ธิดาของเรามิได้ขับร้องเพลงหรือเสียจริตอย่างที่พวกเธอเข้าใจหรอก แต่ธิดาของเราเป็นอย่างนั้นก็เพราะความปีติยินดีที่ความปรารถนาของตนที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นนั้นสำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ทุกปราการ นางจึงเดินเปล่งอุทานออกมาด้วยความเอิบเอมใจ
  ด้วยเหตุที่นางวิสาขาได้อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสงฆ์ และได้ถวายวัตถุจตุปัจจัยในพระพุทธศานาเป็นจะนวนมาก ดังกล่าวมา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงประกาศยกย่องนางในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้เป็นทายิกา.
มาลดความอ้วนด้วย กล้วยมื้อเช้า กัน

  
สืบเนื่องมาจากหนังสือหน้าตาไม่ชวนซื้อเล่มนี้ 
playground

  
เปิดมาตัวหนังสือเล็กๆ ยุบยับ ไม่น่าซื้อเอาซะเลย 
หนังสือเล่มนี้แค่ 150 เองไม่แพง ซื้อมาอ่านขำๆ ก็ได้ พออ่านจบแล้วพบว่า.............
เฮ้ย!! ซาร่ามันน่าจะเจ๋งนะเนี่ยยยยยยย  

กล้วยมื้อเช้าบนรถทุกวันเลย อร่อยย


 

My breakfast


หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณ ฮามาจิ (จิน วาตานาเบะ) 

เค้าเป็นกูรู ผู้นำเสนอหลักการกล้วยมื้อเช้าเป็นคนแรก (เริ่มนำเสนอในปี 2006) 
โดยคนคิดค้นหลักการนี้ก็คือ เภสัชกร นักเวชศาสตร์ป้องกันซึ่งเป็นภรรยาของเค้าเอง 
ชื่อ คุณ สิมิโกะ วาตานาเบะ
กล้วยมื้อเช้าที่เป็นหลักการที่ฮอตฮิตมากๆ ที่ญี่ปุ่นเลยหล่ะ 

แบบที่บนหน้าปกหนังสือนี้บอกว่าขายมาแล้วกว่า ล้านเล่มที่ญี่ปุ่น 
ปรากฏการณ์กล้วยมื้อเช้าที่ญี่ปุ่น ทำให้ในปี 2008 ราคากล้วยที่ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 20%, 
กล้วยใน supermarket จะหมดก่อนบ่ายสามโมง 
และญี่ปุ่นต้องนำเข้ากล้วยเพิ่มขึ้นถึง 25%  เลยทีเดียววว 

เห็นแบบนี้แล้วชักอยากรู้แล้วใช่มั้ยหล่ะ ว่าหลักการของกล้วยมื้อเช้าเป็นยังไง
เรามีสรุปมาให้แล้วสั้นๆ แต่แนะนำว่าให้ไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านกัน 

เพราะในหนังสือเค้าจะอธิบายละเอียดเลยว่าทำไมหลักการของกล้วยมื้อเช้าถึง work , 
มีตัวอย่างของคนที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลแตกต่างกันมาเล่ามีภาพประกอบที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และ มีคำตอบของ FAQ ที่คนเค้าถามคุณฮามาจิมาด้วย 
บางอันตรงกับที่เราอยากถามพอดีเลย

กล้วยที่รอกินอยู่ วางแผ่ๆไว้ :
Banana Diet


 

อร่อยสุดต้องกล้วย Dole ขายตาม Tops, Carrefour, Tesco ลูก 30-35 บาท 
ไปวันที่มีเยอะๆจะเลือก Size ใหญ่ๆได้แบบนี้ ลูกเดียวอิ่มเลย
(ที่ Tops คุณภาพดีสุด Spot rewards ได้ลดเหลือ 30 บาท) 

Banana Diet


หลักการของกล้วยมื้อเช้า มี ข้อ (สรุปจากหนังสือหน้า 38 - 43)
    1. กินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า เคี้ยวให้ละเอียดปล่อยให้ลิ้นได้รับรสอร่อยของกล้วย 
    จะกินกี่ลูกก็ได้ (เรากิน 1-2 ลูกแล้วแต่วัน คุณฮามาจิตอนเริ่มทำใหม่ๆกิน ลูก ตอนหลังๆลดเหลือ 2ลูก) 
คนที่ไม่ชอบกินกล้วยหอมจริงๆจะเลือกกินผลไม้อื่นก็ได้ แต่ให้เป็นชนิดเดียวอย่ากินปนกันหลายอย่าง 
ที่คุณฮามาจิเลือกกินกล้วยหอม เพราะ กล้วยหอมทานง่าย และมีประโยชน์มากเลย
    ถ้ากินกล้วยแล้วรู้สึกว่ายังหิวอยู่ ให้เว้นระยะซัก 15-30 นาที แล้วค่อยทานอย่างอื่นได้ 

(เค้าแนะนำให้กินพวกอาหารประเภทข้าว เช่น ข้าวปั้นโอนิงิริ ชั้นต้องไป Paragon มั้ยเนี่ย :D) 

    2. ดื่มเฉพาะน้ำเปล่าเท่านั้นและดื่มบ่อยๆ 
    เครื่องดื่มที่ดื่มกับกล้วยหอมในตอนเช้า เค้าให้ดื่มน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง 

ถ้าจะดื่มอย่างอื่นก็ให้เว้นระยะ 15-30 นาทีเหมือนเดิม หลักการของกล้วยมื้อเช้า 
เค้าให้ดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆตามที่ต้องการ เค้าว่าการดื่มน้ำเปล่าจะทำให้ประสาทรับรสชาดดีขึ้น กระเพาะและลำไส้ทำงานน้อยลง พอรับรสชาดได้มากขึ้น ความต้องการอาหารในแต่ละมื้อจะลดลงเอง แต่ นานๆครั้งจะนอกใจไปดื่มอย่างอื่นก็ไม่เป็นไร กล้วยมื้อเช้าเน้นสบายๆ ไม่เครียด 

    3. กินอาหารกลางวันตามปกติ
    มื้อกลางวันกินอะไรก็ได้ แต่ขอให้เคี้ยวให้ละเอียด รับรสชาดอาหารให้เต็มที่ 
เพราะถ้าเราทานอาหารกลางวันน้อยๆเราก็อยากจะทานขนมมากขึ้น เค้าให้ทานให้เต็มที่ปเลย แต่อยากให้เน้นที่อาหารประเภทข้าว เค้าให้ทานข้าวเยอะๆลดปริมาณกับข้าวลง 

    4. กินของว่างได้ตอนบ่ายสาม 
    จริงๆเค้าว่ากินของว่างได้ทุกวันหากต้องการ แต่เพื่อม่ให้กินมากเกินไปเลยจำกัดให้กิน อย่างต่อวัน เค้าแนะนำให้กิน Chocolate หรือ ขนมญี่ปุ่น (คนแปลบอกว่า มักทำจากแป้ง ถั่ว น้ำตาล) พวกไอศกรีม โดนัท มันฝรั่งทอด เค้าว่านานๆครั้งดีกว่า แต่ถ้าอยากให้ไดเอ็ทเห็นผลเร็ว เค้าให้เลือกกินผลไม้ แต่เลือกกินชนิดเดียวพอนะ อย่าปนๆกัน

    5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
     ถ้าเราทานอาหารเย็นดึกจนเกินไป ตอนนอนกระเพาะลำไส้ก็ยังไม่ได้พัก ทำให้ร่างกายไม่สามารถขจัดความเหนื่อยล้าที่มีในแต่ละวันได้ อันเป็นสาเหตุของการอ้วน กล้วยมื้อเช้าบอกให้เราทานอาหารเย็นประมาณ โมง และดึกสุดไม่เกิน ทุ่ม ถ้ายากก็ลองขยับให้เร็วขึ้นสัก 30 นาทีดูก่อน และให้ฝึกไม่กินของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ให้กินของหวานแค่บ่ายสามเท่านั้น (อันนี้ยากเหมือนกัน เราก็ทำไม่ได้555 ยังกินของหวานนิดๆหน่อย วันละ 2-3 ครั้งอยู่เลย 
แต่ก็พยายามลดนะ)

    6. นอนก่อนขึ้นวันใหม่
    พยายามนอนเร็วให้เป็นนิสัย 
ดึกสุดไม่เกินเที่ยงคืน การนอนเร็ว และท้องไม่เต็มไปด้วยอาหาร จะทำให้นอนหลับสบาย ร่างกายเราจะฟื้นฟูสภาพกันตอนหลับนี่แหละ

    7. ออกกำลังกายเมื่อต้องการออก อย่าหักโหม
    การออกกำลังกายเค้าให้ทำอย่างพอเหมาะ ทำให้ร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่างหักโหม ร่างกายจะรู้สึกทรมานไม่เป็นผลดีเอา เค้าแนะนำให้แกว่งแขนสองข้างขึ้นลงเนี่ยแหละให้ผลดีกับการไดเอ็ทมากกว่าที่คิด

    8.จดบันทึกไดอารี่ให้เป็นนิสัย พร้อมเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย
    การจดบันทึกไดอารี่ไว้ เช่น จดลงบล็อคมีข้อดีคือ จะมีคนมาคอยเชียร์ มาให้คำแนะนำ 
เป็น บ่อเกิดของ กำลังใจได้ (เราก็จดแต่ไม่ให้ใครดูยังเขินอยู่ 555)
อันนี้เป็นตัวอย่าง ไดอารี่ จากหนังสือหน้า 103
มื้อเช้า          7:10 กล้วย ลูกน้ำเปล่า
มื้อกลางวัน    12:00 ข้าวกล่องเอามาเอง (จดละเอียดว่าอะไรบ้าง)ไก่ทอด ชิ้นน้ำเปล่า
อาหารว่าง      15:00 ช็อกโกแลตบาร์ครึ่งแผ่นน้ำเปล่า
มื้อเย็น          19:00 ข้าวแกงกะหรี่ จานสลัดมันฝรั่งซุปน้ำเปล่า
มื้อดึก           21:00 ส้ม ลูกน่ำเปล่า

เวลานอน       23:30
ออกกำลังกาย     หายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนอาหาร
การถ่าย        ดีมาก
น้ำหนัก         59.8 กิโล เทียบกับอาทิตย์ที่แล้ว -0.5 โล
ข้อคิดเห็น
วันนี้งานยุ่งมากๆ สงสัยช่วงนี้ต้องทำโอทีซักหน่อยแล้ว วันนี้หายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนอาหารได้ครบทุกมื้อ เคี้ยวข้าวละเอียดๆค่อยๆให้ลิ้นรับรู้รสชาดได้แล้ว
จะเห็นว่าเค้าจดละเอียดเหมือนกันว่า กินอะไรตอนไหนอย่างไร เราก็พยายามจดอยู่นะ ข้อดีคือได้บันทึกน้ำหนักทุกวันนี่ว่าเท่าไหร่แล้ว และก็รู้ด้วยว่ากินอะไรไปบ้าง พอถึงตรงออกกำลังกายจะได้รู้ว่าวันนี้ได้ทำรึยัง ข้อคิดเห็นก็จะบอกได้ว่า วันนี้เครียดมาก หรือ น้อยยังไง เพราะมีผลต่อการไดเอ็ทนะ 
ผลหลังจากทำกล้วยมื้อเช้าแล้ว 
    บางคนอาจจะอยากรู้ว่า เราทำกล้วยมื้อเช้าแล้วมันเห็นผลยังไง เราทำมาได้ประมาณ อาทิตย์แล้ว แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดทำเป๊ะๆทุกข้อนะ ยิ่งเรื่องทานข้าวเย็นก่อน ทุ่ม นี่หลุดหลายวันเลย ของว่างก็ห้ามใจไม่อยู่ กินวันละหลายครั้งเหมือนกัน แต่น้ำหนักก็ลดลงอ่ะ (จาก 49.4 เป็น 48.3) แต่ที่เห็นชัดๆคือ เรื่องของการขับถ่าย ปกติก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่บ้างวันมันเยี่ยมมากๆ แบบหมดไส้ไปเลย ตอนนี้หน้าท้องแบนมั๊กๆ ชอบ
    ที่แนะนำให้เพื่อนๆทำ สิ่งแรกที่เค้าจะเห็นผลเลยคือเรื่องของการขับถ่ายนี่แหละ ในหนังสือบอกว่าบางคนมีอุจจาระตกค้างเยอะมากที่ร่างกายไม่สามารถขับออกมาได้ เพื่อนๆที่ทำคนนึงน้ำหนัก 116กิโล ทำกล้วยมื้อเช้าได้ วัน น้ำหนักลงไป โล คือเค้า งง มากว่ามันมากจากไหนเยอะเลย (เริ่มเหมือนพวกโฆษณาชวนเชื่อ) อีกคนหนัก 73 ทำมาพร้อมๆกัน ตอนนี้ลงไปแล้วโลครึ่ง เพราะขับถ่ายดีมั๊กๆ
   
ยังไงลองทำกันดูนะคะ ได้ผลหรือไม่ได้ยังไงมาบอกด้วย ส่วนตัวชอบหลักการนี้นะ และคิดจะลองเผยแพร่ให้เพื่อนๆได้ลองกัน เพราะมันไม่ยาก ไม่ต้องอดไม่ต้องทน ไม่เปลืองเวลา ไม่เปลืองเงินด้วย :D
ปล. อย่าลืมไปอุดหนุนซื้อหนังสือเค้าด้วยนะ เล่มละ 150 บาทเอง มีเนื้อหาดีดีเยอะเลย ตอนนี้เริ่มเห็นหนังสือข้นอันดับ Best Seller ของหลายๆที่แล้วด้วย