วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554
"อัปสรา"ผู้เลอโฉมที่สุดในสยาม
“อัปสรา” ในความคิดของใครหลายๆคน เธอดูเหมือนจะเป็นนางฟ้า แรกๆผมก็คิดอย่างนั้น กระทั่งได้รับรู้ตำนานการเกิ วิถีนางอัปสรา สำหรับความเป็นมาของ “นางอัปสรา”หรือนาง”อัปสร” เกิดขึ้นในสมัยโบราณกาลนานนม ส่วนจะเป็นยุคไหน เก่าแก่แค่ไหน นานแค่ไหน ผมไม่รู้ แต่ตามตำนานระบุว่าเกิดขึ้ เทวดากับอสูรแม้จะเป็ การกวนเกษียรสมุทร ต้องให้พญานาควาสุกรี(พญานาค 5 เศียร)ใช้ลำตัวมาเป็นเสมือนเชื ฝ่ายเทพเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ออกอุบายว่า ฝ่ายใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุ | ||||
เทพกับอสูรช่วยกันชักดึ อนึ่งการกวนเกษียรสมุทร ก่อให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่ โดยเรื่องมีอยู่ว่า ช่วงขณะหนึ่งของการทำพิธีภู สำหรับการกวนเกษียรสมุ นับได้ว่าเหล่าเทวดาเจ้ อัปสรา “ศรีขรภูมิ” โฉมงามแห่งสยาม การกวนเกษียรสมุทรแม้ก่ | ||||
ในความเชื่ ขณะที่อีกหนึ่งความเชื่อ เชื่อว่านางอัปสราคือนางฟ้าหรื โดยเฉพาะนครวัด(สิ่งมหั ทว่า...น่าแปลกที่ | ||||
นางอัปสราปราสาทศีขรภูมิ สลักจากฝีมือช่างโบราณชั้นครู ความงามสู้ภาพสลักนางอั สำหรับปราสาทแห่งนี้ ตามข้อมูลระบุว่า สร้างขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทขอมที่สร้ การจะชมปราสาทแห่งนี้ | ||||
อย่างแรกคือ ทับหลังที่ได้ชื่อว่ อย่างที่ 2 อยู่ด้านล่าง ทับหลังพระศิวะ 3 ตอน คือภาพสลักนางอัปสราที่ได้ชื่ นางอัปสราที่นี่ มี 2 นาง ยืนขนาบซ้ายและขวาของประตูองค์ นางทางซ้ายมือขวาหนึ่งถื นางอัปสราทั้ง 2 สวมเครื่องทรงศีรษะอั เธอทั้ง 2 ยืนเอนตัวเล็กน้อยพองาม ตามลักษณะอันอรชรอ่อนช้อยใบหน้ สำหรับผมรอยยิ้มของนางอั |
ลดบริโภค'น้ำมัน'ไม่ขาดสารอาหารแนะหนทางประหยัด-สุขภาพดี
ปัญหา น้ำมันพืชราคาแพงจนเกิดการขาดแคลนดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อค้าแม่ขายรวมทั้งคุณพ่อบ้านแม่บ้านต่างพากันหัน ไปเลือกใช้ “น้ำมันหมู” แทนน้ำมันพืชเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งการบริโภคน้ำมันหมูแทนน้ำมันพืชนั้นประหยัดก็จริง แต่จะดีต่อสุขภาพหรือไม่อย่างไร...?!?
อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย กรมอนามัยและ สสส.และที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า น้ำมันเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะให้สารอาหารที่เรียกว่า “ไขมัน” ทำให้เกิดพลังงานที่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญไขมันยังนำวิตามินบางตัวที่อยู่ในอาหารซึ่งร่างกายรับประทานเข้าไป แล้วไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และวิตามินเค
แต่ ในปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากจนเกินไป จากสถิติพบว่าโดยเฉลี่ยเดือนหนึ่งคนไทยบริโภคน้ำมันพืชประมาณคนละ 1 ลิตร หรือประมาณคนละ 1.1 กิโลกรัม ถือว่าเป็นสถิติที่สูงมาก ความจริงแล้วเราควรบริโภคน้ำมันพืชต่อคนไม่เกิน 3-4 ช้อนโต๊ะ เพราะการบริโภคน้ำมันที่มากเกินไปจะทำให้มีโทษต่อร่างกาย น้ำมันส่วนเกินที่ใช้ไม่หมดเก็บไว้ในร่างกายมาก จะนำพาไปสู่โรคต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคความดัน
ฉะนั้น ในช่วงที่น้ำมันพืชขาดตลาดหรือมีราคาแพงนี้เราควรพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพราะในเมื่อปกติเรารับประทานน้ำมันพืชในปริมาณที่มากเกินไปอยู่แล้วก็ควรลด ปริมาณการบริโภคลง เพราะการที่เราขาดแคลนน้ำมันพืชนั้นไม่ได้ส่งผลให้เราขาดสารอาหารหรือถึงกับ เสียชีวิต ตรงกันข้ามกลับทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อหาน้ำมันมาปรุงอาหารอีกด้วย
อย่าง ไรก็ตามหลังจากที่ราคาน้ำมันพืชแพงขึ้นพ่อค้าแม่ค้าหรือแม้กระทั่งคุณแม่ บ้านเองกลับหันไปเลือกใช้น้ำมันอื่นทดแทนน้ำมันพืช โดยเฉพาะ “น้ำมันหมู” ที่เป็นน้ำมันจากสัตว์ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะน้ำมันหมูเท่านั้นแต่รวมถึง น้ำมันจากไก่ น้ำมันจากเนื้อวัวและน้ำมันจากสัตว์อื่น ๆ ด้วย โดยน้ำมันจากสัตว์เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูงและมีคอเลสเตอร อลสูงด้วย หากเรารับประทานไขมันจากสัตว์จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นและเป็น ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย
ในระยะหลัง ๆ นี้ ครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้น้ำมันหมูปรุงอาหารกันนานแล้ว หรืออาจยังมีคนที่นิยมใช้อยู่บ้าง อาจเป็นเพราะติดใจในรสชาติที่อร่อยและมีกลิ่นหอมกว่าน้ำมันพืช จวบจนปัจจุบันด้วยภาวะวิกฤติน้ำมันพืชแพงและขาดแคลน หลายคนจึงกลับไปใช้น้ำมันหมูกันอีก ซึ่งการบริโภคน้ำมันหมูให้ปลอดภัยนั้น ควรรับประทานในปริมาณที่เล็กน้อยไม่มากเกินไปไม่บ่อยเกินไป คือ ประมาณเดือนละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ เพราะในทุก ๆ มื้ออาหาร นอกจากเราจะได้น้ำมันหมูจากการใช้เนื้อหมูปรุงอาหารแล้ว ยังมีอีกทางที่ร่างกายได้รับน้ำมันจากสัตว์ด้วยนั่นก็คือ การบริโภคเนื้อสัตว์ในรูปแบบปิ้งย่าง ไม่ว่าจะเป็น หมูปิ้ง ไก่ย่าง ซึ่งก็ถือว่าเราได้รับน้ำมันจากสัตว์มากพอแล้วไม่ควรซ้ำเติมชีวิตด้วยการนำ น้ำมันหมูมาปรุงอาหารอีก
การเลือกรับประทานน้ำมันพืช นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ เพราะน้ำมันพืชแตกต่างจากน้ำมันสัตว์ตรงที่ไม่มีคอเลสเตอรอล แต่ถึงแม้จะไม่มีคอเลสเตอรอล การรับประทานที่มากเกินไปก็ถือเป็นการช่วยเพิ่มไขมันในร่างกายให้สูงขึ้นได้
ทั้งนี้ อาจารย์สง่า ได้แนะทางออกในการประหยัดเงินและส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยกัน 3 ทางคือ
ทางออกแรก พยายามลดการกินอาหารประเภททอดและผัดให้น้อยลงและหันไปกินอาหารประเภทต้ม ย่าง ยำ อบ นึ่งให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันที่ใช้ทอดและไม่ควรใช้น้ำมันทอดซ้ำหรือคุณแม่บ้านจะ ใช้ก็ไม่ควรเกิน 2 ครั้ง ที่สำคัญน้ำมันที่ใช้แล้วและจะนำมาใช้ครั้งที่ 2 ไม่ควรเก็บไว้ในภาชนะประเภทเหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เพราะจะไปเร่งการเสื่อมสลายของน้ำมันให้มากขึ้น
วิธีการเก็บน้ำมัน พืชควรเก็บไว้ให้พ้นจากแสงและความร้อน ไม่ควรเก็บไว้ข้าง ๆ เตาแก๊ส เพราะการที่น้ำมันถูกความร้อนจะทำให้วิตามินสูญหายไป โดยเฉพาะวิตามินอี
สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้ปรุงอาหารเองและยังอยากรับประทานอาหารประเภททอดและผัดอยู่ระวัง จะเจอพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มนำน้ำมันทอดซ้ำหลาย ๆ ครั้งมาปรุงอาหาร ซึ่งมีโทษคือทำให้เกิดสารโพลาร์ที่จะเพิ่มภาวะความดันโลหิตสูงและมีสารที่ ก่อมะเร็งอีก คือสารโพลีไซคิกอะโรเมติกและไฮโดรคาร์บอน ส่วนสารอีกตัวหนึ่งคือไขมันทรานส์ เกิดจากน้ำมันทอดซ้ำบ่อย ๆ ทำให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือดตีบและที่น่ากลัวมากคือน้ำมันที่ทอดซ้ำแล้วพ่อ ค้าแม่ค้ามักใส่ “สารเคมีฟอกสี” ให้ใสขึ้นเพื่อให้เราไม่สามารถสังเกตได้
ทางออกที่ 2 ถ้าเราอยากทอดหรือผัดอาหารก็พยายามใช้น้ำมันให้น้อยลง เช่น เจียวไข่เคยใช้ 3 ทัพพีให้ไข่ฟูก็ลดลงหรือจะทอดไก่หรือหมู อย่าทอดน้ำมันลอย เพื่อเป็นการประหยัดและเพื่อไม่ให้ร่างกายเราได้รับไขมันมากจนเกินไป
และทางออกที่ 3 ใช้น้ำมันอื่นมาทดแทนน้ำมันพืชที่ขาดตลาดได้ เช่น น้ำมันมะพร้าว หากกินในจำนวนที่พอดีก็จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากก็มีโทษเหมือนน้ำมันชนิดอื่น ๆ ฉะนั้นทางออกที่ 1 และ 2 ควรปฏิบัติให้บ่อยมากที่สุด
สรุปแล้วในภาวะน้ำมันพืชวิกฤติแบบ นี้อยากให้คนไทยลองฉวยโอกาสลดการบริโภคน้ำมันลงบ้าง เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นอีกด้วย.
.....................
น้ำมันชนิดต่าง ๆ เหมาะปรุงอาหารประเภทไหน...?
1. น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) โมเลกุลขนาดกลาง เช่น น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์มเคอร์เนิล ไม่เหมาะใช้ประกอบอาหารความร้อนสูง เพราะจุดเกิดควันค่อนข้างต่ำ
2. น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) โมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น น้ำมันปาล์ม เหมาะสำหรับการทอดอาหาร แทนน้ำมันจากไขมันสัตว์
3. น้ำมันที่มีกรดโอเลอิก (MUFA) ปริมาณมาก และมีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) ต่ำ ปัจจุบันมาจาก 2 แหล่งคือ พืชธรรมชาติอย่าง น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลาและน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันจากพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เช่น น้ำมันถั่วเหลืองกรดโอเลอิกสูงและกรดลิโนเลนิกต่ำ น้ำมันดอกคำฝอย กรดโอเลอิกสูง น้ำมันคาโนลากรดโอเลอิกสูง และน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันกรดโอเลอิกสูง เป็นต้น ทั้งหมดเหมาะกับการต้ม นึ่ง ผัด มากกว่าการทอดน้ำมันท่วม
4. น้ำมันที่มีกรดโอเลอิก (MUFA) และกรดไลโนลิอิก (PUFA) ในปริมาณใกล้เคียงกัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันงา เหมาะกับการประกอบอาหารทั่วไปที่ความร้อนไม่สูงเกินไป เพื่อคงสภาพกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย
5. น้ำมันที่มีกรดไลโนลิอิก (PUFA) มาก กรดโอเลอิก (MUFA) ปานกลาง และกรดลิโนเลอิกต่ำมาก เช่น น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพดและน้ำมันฝ้าย ซึ่งไม่เหมาะกับการทอดอาหารอย่างยิ่ง
6. น้ำมันที่มีกรดลิโนเลอิกในปริมาณมาก เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา ซึ่งไม่เหมาะกับการทอดอาหาร หรือใช้ความร้อนที่สูงเกินไปเช่นกัน
7. น้ำมันพืชหรือไขสัตว์ ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรจิเนชั่น (การเติมไฮโดรเจนให้อะตอมกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว) น้ำมันประเภทนี้จะมีจุดหลอมเหลว และจุดเกิดควันสูงขึ้น อย่างเช่น มาการีนและเนยขาว เหมาะกับการประกอบอาหารด้วยความร้อนสูง เช่น โดนัททอด ไก่ทอด ขนมอบ เค้ก และคุกกี้ เป็นต้น
(ข้อมูลจาก ผศ.ดร.ทิพยเนตร อริยปิติพันธ์ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ปัญหา น้ำมันพืชราคาแพงจนเกิดการขาดแคลนดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อค้าแม่ขายรวมทั้งคุณพ่อบ้านแม่บ้านต่างพากันหัน ไปเลือกใช้ “น้ำมันหมู” แทนน้ำมันพืชเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งการบริโภคน้ำมันหมูแทนน้ำมันพืชนั้นประหยัดก็จริง แต่จะดีต่อสุขภาพหรือไม่อย่างไร...?!?
อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย กรมอนามัยและ สสส.และที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า น้ำมันเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะให้สารอาหารที่เรียกว่า “ไขมัน” ทำให้เกิดพลังงานที่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญไขมันยังนำวิตามินบางตัวที่อยู่ในอาหารซึ่งร่างกายรับประทานเข้าไป แล้วไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และวิตามินเค
แต่ ในปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำมันพืชในปริมาณที่มากจนเกินไป จากสถิติพบว่าโดยเฉลี่ยเดือนหนึ่งคนไทยบริโภคน้ำมันพืชประมาณคนละ 1 ลิตร หรือประมาณคนละ 1.1 กิโลกรัม ถือว่าเป็นสถิติที่สูงมาก ความจริงแล้วเราควรบริโภคน้ำมันพืชต่อคนไม่เกิน 3-4 ช้อนโต๊ะ เพราะการบริโภคน้ำมันที่มากเกินไปจะทำให้มีโทษต่อร่างกาย น้ำมันส่วนเกินที่ใช้ไม่หมดเก็บไว้ในร่างกายมาก จะนำพาไปสู่โรคต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคความดัน
ฉะนั้น ในช่วงที่น้ำมันพืชขาดตลาดหรือมีราคาแพงนี้เราควรพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เพราะในเมื่อปกติเรารับประทานน้ำมันพืชในปริมาณที่มากเกินไปอยู่แล้วก็ควรลด ปริมาณการบริโภคลง เพราะการที่เราขาดแคลนน้ำมันพืชนั้นไม่ได้ส่งผลให้เราขาดสารอาหารหรือถึงกับ เสียชีวิต ตรงกันข้ามกลับทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อหาน้ำมันมาปรุงอาหารอีกด้วย
อย่าง ไรก็ตามหลังจากที่ราคาน้ำมันพืชแพงขึ้นพ่อค้าแม่ค้าหรือแม้กระทั่งคุณแม่ บ้านเองกลับหันไปเลือกใช้น้ำมันอื่นทดแทนน้ำมันพืช โดยเฉพาะ “น้ำมันหมู” ที่เป็นน้ำมันจากสัตว์ซึ่งไม่ได้มีเพียงเฉพาะน้ำมันหมูเท่านั้นแต่รวมถึง น้ำมันจากไก่ น้ำมันจากเนื้อวัวและน้ำมันจากสัตว์อื่น ๆ ด้วย โดยน้ำมันจากสัตว์เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูงและมีคอเลสเตอร อลสูงด้วย หากเรารับประทานไขมันจากสัตว์จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นและเป็น ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย
ในระยะหลัง ๆ นี้ ครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้น้ำมันหมูปรุงอาหารกันนานแล้ว หรืออาจยังมีคนที่นิยมใช้อยู่บ้าง อาจเป็นเพราะติดใจในรสชาติที่อร่อยและมีกลิ่นหอมกว่าน้ำมันพืช จวบจนปัจจุบันด้วยภาวะวิกฤติน้ำมันพืชแพงและขาดแคลน หลายคนจึงกลับไปใช้น้ำมันหมูกันอีก ซึ่งการบริโภคน้ำมันหมูให้ปลอดภัยนั้น ควรรับประทานในปริมาณที่เล็กน้อยไม่มากเกินไปไม่บ่อยเกินไป คือ ประมาณเดือนละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ เพราะในทุก ๆ มื้ออาหาร นอกจากเราจะได้น้ำมันหมูจากการใช้เนื้อหมูปรุงอาหารแล้ว ยังมีอีกทางที่ร่างกายได้รับน้ำมันจากสัตว์ด้วยนั่นก็คือ การบริโภคเนื้อสัตว์ในรูปแบบปิ้งย่าง ไม่ว่าจะเป็น หมูปิ้ง ไก่ย่าง ซึ่งก็ถือว่าเราได้รับน้ำมันจากสัตว์มากพอแล้วไม่ควรซ้ำเติมชีวิตด้วยการนำ น้ำมันหมูมาปรุงอาหารอีก
การเลือกรับประทานน้ำมันพืช นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ เพราะน้ำมันพืชแตกต่างจากน้ำมันสัตว์ตรงที่ไม่มีคอเลสเตอรอล แต่ถึงแม้จะไม่มีคอเลสเตอรอล การรับประทานที่มากเกินไปก็ถือเป็นการช่วยเพิ่มไขมันในร่างกายให้สูงขึ้นได้
ทั้งนี้ อาจารย์สง่า ได้แนะทางออกในการประหยัดเงินและส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยกัน 3 ทางคือ
ทางออกแรก พยายามลดการกินอาหารประเภททอดและผัดให้น้อยลงและหันไปกินอาหารประเภทต้ม ย่าง ยำ อบ นึ่งให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันที่ใช้ทอดและไม่ควรใช้น้ำมันทอดซ้ำหรือคุณแม่บ้านจะ ใช้ก็ไม่ควรเกิน 2 ครั้ง ที่สำคัญน้ำมันที่ใช้แล้วและจะนำมาใช้ครั้งที่ 2 ไม่ควรเก็บไว้ในภาชนะประเภทเหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เพราะจะไปเร่งการเสื่อมสลายของน้ำมันให้มากขึ้น
วิธีการเก็บน้ำมัน พืชควรเก็บไว้ให้พ้นจากแสงและความร้อน ไม่ควรเก็บไว้ข้าง ๆ เตาแก๊ส เพราะการที่น้ำมันถูกความร้อนจะทำให้วิตามินสูญหายไป โดยเฉพาะวิตามินอี
สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้ปรุงอาหารเองและยังอยากรับประทานอาหารประเภททอดและผัดอยู่ระวัง จะเจอพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มนำน้ำมันทอดซ้ำหลาย ๆ ครั้งมาปรุงอาหาร ซึ่งมีโทษคือทำให้เกิดสารโพลาร์ที่จะเพิ่มภาวะความดันโลหิตสูงและมีสารที่ ก่อมะเร็งอีก คือสารโพลีไซคิกอะโรเมติกและไฮโดรคาร์บอน ส่วนสารอีกตัวหนึ่งคือไขมันทรานส์ เกิดจากน้ำมันทอดซ้ำบ่อย ๆ ทำให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือดตีบและที่น่ากลัวมากคือน้ำมันที่ทอดซ้ำแล้วพ่อ ค้าแม่ค้ามักใส่ “สารเคมีฟอกสี” ให้ใสขึ้นเพื่อให้เราไม่สามารถสังเกตได้
ทางออกที่ 2 ถ้าเราอยากทอดหรือผัดอาหารก็พยายามใช้น้ำมันให้น้อยลง เช่น เจียวไข่เคยใช้ 3 ทัพพีให้ไข่ฟูก็ลดลงหรือจะทอดไก่หรือหมู อย่าทอดน้ำมันลอย เพื่อเป็นการประหยัดและเพื่อไม่ให้ร่างกายเราได้รับไขมันมากจนเกินไป
และทางออกที่ 3 ใช้น้ำมันอื่นมาทดแทนน้ำมันพืชที่ขาดตลาดได้ เช่น น้ำมันมะพร้าว หากกินในจำนวนที่พอดีก็จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากก็มีโทษเหมือนน้ำมันชนิดอื่น ๆ ฉะนั้นทางออกที่ 1 และ 2 ควรปฏิบัติให้บ่อยมากที่สุด
สรุปแล้วในภาวะน้ำมันพืชวิกฤติแบบ นี้อยากให้คนไทยลองฉวยโอกาสลดการบริโภคน้ำมันลงบ้าง เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นอีกด้วย.
.....................
น้ำมันชนิดต่าง ๆ เหมาะปรุงอาหารประเภทไหน...?
1. น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) โมเลกุลขนาดกลาง เช่น น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์มเคอร์เนิล ไม่เหมาะใช้ประกอบอาหารความร้อนสูง เพราะจุดเกิดควันค่อนข้างต่ำ
2. น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) โมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น น้ำมันปาล์ม เหมาะสำหรับการทอดอาหาร แทนน้ำมันจากไขมันสัตว์
3. น้ำมันที่มีกรดโอเลอิก (MUFA) ปริมาณมาก และมีกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) ต่ำ ปัจจุบันมาจาก 2 แหล่งคือ พืชธรรมชาติอย่าง น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลาและน้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ หรือน้ำมันจากพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เช่น น้ำมันถั่วเหลืองกรดโอเลอิกสูงและกรดลิโนเลนิกต่ำ น้ำมันดอกคำฝอย กรดโอเลอิกสูง น้ำมันคาโนลากรดโอเลอิกสูง และน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันกรดโอเลอิกสูง เป็นต้น ทั้งหมดเหมาะกับการต้ม นึ่ง ผัด มากกว่าการทอดน้ำมันท่วม
4. น้ำมันที่มีกรดโอเลอิก (MUFA) และกรดไลโนลิอิก (PUFA) ในปริมาณใกล้เคียงกัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันงา เหมาะกับการประกอบอาหารทั่วไปที่ความร้อนไม่สูงเกินไป เพื่อคงสภาพกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย
5. น้ำมันที่มีกรดไลโนลิอิก (PUFA) มาก กรดโอเลอิก (MUFA) ปานกลาง และกรดลิโนเลอิกต่ำมาก เช่น น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพดและน้ำมันฝ้าย ซึ่งไม่เหมาะกับการทอดอาหารอย่างยิ่ง
6. น้ำมันที่มีกรดลิโนเลอิกในปริมาณมาก เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา ซึ่งไม่เหมาะกับการทอดอาหาร หรือใช้ความร้อนที่สูงเกินไปเช่นกัน
7. น้ำมันพืชหรือไขสัตว์ ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรจิเนชั่น (การเติมไฮโดรเจนให้อะตอมกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว) น้ำมันประเภทนี้จะมีจุดหลอมเหลว และจุดเกิดควันสูงขึ้น อย่างเช่น มาการีนและเนยขาว เหมาะกับการประกอบอาหารด้วยความร้อนสูง เช่น โดนัททอด ไก่ทอด ขนมอบ เค้ก และคุกกี้ เป็นต้น
(ข้อมูลจาก ผศ.ดร.ทิพยเนตร อริยปิติพันธ์ คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
เบญจกัลยาณี
เบญจกัลยาณี (แปลว่า ผู้มีความงาม 5 ประการ) หมายถึงสตรีผู้มีศุภลักษณ์หรื อลักษณะที่งาม 5 ประการ คือ
- ผมงาม คือมีผมเหมือนหางนกยูง เมื่อสยายออกทิ้งตัวลงมาถึ
งชายผ้า - เนื้องาม คือมีริมฝีปากแดงเหมือนลูกตำลึ
งสุก เรียบสนิทมิดชิดดี - ฟันงาม คือขาวเหมือนสังข์และเรี
ยบเสมอเหมือนเพชรเรียง - ผิวงาม คือถ้าผิวดำก็ดำสม่ำเสมอเหมื
อนดอกอุบล ถ้าขาวก็ขาวเหมือนกลีบดอกกรรณิ การ์ - วัยงาม คืองามทุกวัย แม้คลอดบุตรมาแล้ว 10 ครั้งก็ยังดูสาวพริ้งอยู่
อ้างอิง
- พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. 9 ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุ
ทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
ประวัติ นางวิสาขา
|
มาลดความอ้วนด้วย กล้วยมื้อเช้า กัน
สืบเนื่องมาจากหนังสือหน้าตาไม่
เปิดมาตัวหนังสือเล็กๆ ยุบยับ ไม่น่าซื้อเอาซะเลย
หนังสือเล่มนี้แค่ 150 เองไม่แพง ซื้อมาอ่านขำๆ ก็ได้ พออ่านจบแล้วพบว่า.............
เฮ้ย!! ซาร่ามันน่าจะเจ๋งนะเนี่ยยยยยยย
กล้วยมื้อเช้าบนรถทุกวันเลย อร่อยย
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณ ฮามาจิ (จิน วาตานาเบะ)
เค้าเป็นกูรู ผู้นำเสนอหลักการกล้วยมื้อเช้
โดยคนคิดค้นหลักการนี้ก็คือ เภสัชกร นักเวชศาสตร์ป้องกันซึ่งเป็
ชื่อ คุณ สิมิโกะ วาตานาเบะ
กล้วยมื้อเช้าที่เป็นหลักการที่
แบบที่บนหน้าปกหนังสือนี้บอกว่
ปรากฏการณ์กล้วยมื้อเช้าที่ญี่
กล้วยใน supermarket จะหมดก่อนบ่ายสามโมง
และญี่ปุ่นต้องนำเข้ากล้วยเพิ่
เห็นแบบนี้แล้วชักอยากรู้แล้
เรามีสรุปมาให้แล้วสั้นๆ แต่แนะนำว่าให้ไปซื้อหนังสือเล่
เพราะในหนังสือเค้าจะอธิ
มีตัวอย่างของคนที่ปฏิบัติแล้
บางอันตรงกับที่เราอยากถามพอดี
กล้วยที่รอกินอยู่ วางแผ่ๆไว้ :D
อร่อยสุดต้องกล้วย Dole ขายตาม Tops, Carrefour, Tesco 4 ลูก 30-35 บาท
ไปวันที่มีเยอะๆจะเลือก Size ใหญ่ๆได้แบบนี้ ลูกเดียวอิ่มเลย
(ที่ Tops คุณภาพดีสุด Spot rewards ได้ลดเหลือ 30 บาท)
หลักการของกล้วยมื้อเช้า มี 8 ข้อ (สรุปจากหนังสือหน้า 38 - 43)
1. กินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้
จะกินกี่ลูกก็ได้ (เรากิน 1-2 ลูกแล้วแต่วัน คุณฮามาจิตอนเริ่มทำใหม่ๆกิน 4 ลูก ตอนหลังๆลดเหลือ 2ลูก) คนที่ไม่ชอบกินกล้วยหอมจริ
ที่คุณฮามาจิเลือกกินกล้วยหอม เพราะ กล้วยหอมทานง่าย และมีประโยชน์มากเลย
ถ้ากินกล้วยแล้วรู้สึกว่ายังหิ
(เค้าแนะนำให้กิ
2. ดื่มเฉพาะน้ำเปล่าเท่านั้นและดื
เครื่องดื่มที่ดื่มกับกล้
ถ้าจะดื่มอย่างอื่นก็ให้เว้
เค้าให้ดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆตามที่
3. กินอาหารกลางวันตามปกติ
มื้อกลางวันกินอะไรก็ได้ แต่ขอให้เคี้ยวให้ละเอียด รับรสชาดอาหารให้เต็มที่ เพราะถ้าเราทานอาหารกลางวันน้
4. กินของว่างได้ตอนบ่ายสาม
จริงๆเค้าว่ากินของว่างได้ทุกวั
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่
ถ้าเราทานอาหารเย็นดึกจนเกินไป ตอนนอนกระเพาะลำไส้ก็ยังไม่ได้
6. นอนก่อนขึ้นวันใหม่
พยายามนอนเร็วให้เป็นนิสัย ดึกสุดไม่เกินเที่ยงคืน การนอนเร็ว และท้องไม่เต็มไปด้วยอาหาร จะทำให้นอนหลับสบาย ร่างกายเราจะฟื้นฟูสภาพกั
7. ออกกำลังกายเมื่อต้องการออก อย่าหักโหม
การออกกำลังกายเค้าให้ทำอย่
8.จดบันทึกไดอารี่ให้เป็นนิสัย พร้อมเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย
การจดบันทึกไดอารี่ไว้ เช่น จดลงบล็อคมีข้อดีคือ จะมีคนมาคอยเชียร์ มาให้คำแนะนำ เป็น บ่อเกิดของ กำลังใจได้ (เราก็จดแต่ไม่ให้ใครดูยังเขิ
อันนี้เป็นตัวอย่าง ไดอารี่ จากหนังสือหน้า 103
มื้อเช้า 7:10 กล้วย 2 ลูก, น้ำเปล่า
มื้อกลางวัน 12:00 ข้าวกล่องเอามาเอง (จดละเอียดว่าอะไรบ้าง), ไก่ทอด 2 ชิ้น, น้ำเปล่า
อาหารว่าง 15:00 ช็อกโกแลตบาร์ครึ่งแผ่น, น้ำเปล่า
มื้อเย็น 19:00 ข้าวแกงกะหรี่ 1 จาน, สลัดมันฝรั่ง, ซุป, น้ำเปล่า
มื้อดึก 21:00 ส้ม 2 ลูก, น่ำเปล่า
เวลานอน 23:30
ออกกำลังกาย หายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนอาหาร
การถ่าย ดีมาก
น้ำหนัก 59.8 กิโล เทียบกับอาทิตย์ที่แล้ว -0.5 โล
ข้อคิดเห็น
วันนี้งานยุ่งมากๆ สงสัยช่วงนี้ต้องทำโอทีซักหน่
จะเห็นว่าเค้าจดละเอียดเหมือนกั
ผลหลังจากทำกล้วยมื้อเช้าแล้ว
บางคนอาจจะอยากรู้ว่า เราทำกล้วยมื้อเช้าแล้วมันเห็
ที่แนะนำให้เพื่อนๆทำ สิ่งแรกที่เค้าจะเห็นผลเลยคื
ยังไงลองทำกันดูนะคะ ได้ผลหรือไม่ได้ยังไงมาบอกด้วย ส่วนตัวชอบหลักการนี้นะ และคิดจะลองเผยแพร่ให้เพื่
ปล. อย่าลืมไปอุดหนุนซื้อหนังสือเค้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)