Neanderthal : มนุษย์ยุคหิน |
เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดในบ้านเสียชี วิต สมาชิกในครอบครัวย่อมถือเป็นหน้ าที่ในการจัดการศพ ให้เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรักใคร่ ไยดีในผู้ตาย ฐานะ ตลอดจนความถูกต้องตามธรรมเนี ยมประเพณีของท้องถิ่นนั้นๆ คราวนี้จึงขอนำเอาประวัติศาสตร์ พิธีศพมาเล่าสู่กันฟัง
หลักฐานการทำศพที่ดึกดำบรรพ์ ที่สุดของโลกเห็นจะได้แก่สุ สานของมนุษย์ นีนเดอร์ธาล(Neanderthal) บรรพช นครึ่งคนครึ่งลิงของมนุษย์ ซึ่งขุดค้นพบทางตอนเหนือของอิรั กในปี ค.ศ.1951 แต่ละศพได้รับการฝังอย่างประณีต ดินรอบๆ หลุมมีเกสรของดอกไม้ 12 ชนิดปะปนอยู่ แสดงถึงการนำบุปผชาติมาเคารพศพ
หลักฐานการทำศพที่ดึกดำบรรพ์ ที่สุดของโลกเห็นจะได้แก่สุ
หลักฐานเก่าแก่ถัดมาก็คือ พี ระมิดอันมโหฬาร ของชาวไอยคุปต์นั่นเองในครั้ งกระโน้น นักบวชแห่งที่ราบลุ่ มเมโสโปเตเมีย กับอียิปต์ได้ค้นพบวิธีการพิทั กษ์ พระศพของฟาโรห์ โดยการทำมัมมี่ เพื่อให้คงอยู่ ตลอดกาลนาน พระศพของฟาโรห์จะถูกควักอวั ยวะภายในออกแช่ น้ำเกลือ แล้วพันไว้ ด้วยผ้าชุบน้ำมัน สอง-สามเดือนหลังจากนั้น พระศพก็จะแห้งแข็งและผิวเปลี่ ยนเป็นสีคล้ำ แล้วมัมมี่ก็จะถูกนำไปใส่ในโลง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโลงศพแรกๆ ของโลก จากนั้นจึงบรรจุโลงไว้ในสุสาน พร้อมด้วยสิ่งของเครื่องใช้ และสิ่งมีค่าต่างๆ ทั้งนี้ ชนไอยคุปต์เชื่อว่ากษัตริย์ ของพวกเขาย่อมได้ไปเป็นผู้นำหรื อพระเจ้าของปรโลก จึงควรมีข้าทาสและทรัพย์สมบัติ เฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้ งดำรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้
Catacombs หรือสุสานใต้ดิน |
สำหรับการเผาศพนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งในยุคหิน (Stone Age) แล้ว แต่เพิ่งเผากันอย่างมีพิธีรี ตองในสมัยกรีก โดยชาวกรีกฝังใจว่า เมื่อตายแล้วก็จะไปอยู่ยังที่ ใหม่ คือ สวรรค์ ดังนั้น วิญญาณของผู้ตายควรเป็น อิสระปราศจากสิ่งผูกพัน และวิธีการปล่อยวิญญาณให้เป็นอิ สระได้ ดีที่สุด ก็คือการเผาร่างกายเสียให้สิ้ นซากไปเลย
โรมันซึ่งเจริญรุ่งเรืองต่อ จากกรีกนั้นใช้วิธีทั้งเผาและฝั ง สุสานของโรมัน ซึ่งอยู่ที่กรุงโรมนั้นมี ขนาดมหึมา เรียกว่า คาทาคอมบ์ (catacomb)
โรมันซึ่งเจริญรุ่งเรืองต่อ จากกรีกนั้นใช้วิธีทั้งเผาและฝั
ในสมัยต้นคริสตกาล ชาวยิวจัดการกับศพ โดยใช้ผ้าห่อหุ้มแล้วนำไปเก็ บไว้ในถ้ำ แต่จะไม่ปิดปากถ้ำเป็นเวลา 3 วัน ในช่วง 3 วันนี้ ญาติๆ จะแวะเวียนเข้าไปคารวะศพ ด้วยเหตุผลอันใดหรือ ? ก็เนื่องจากในครั้งกระโน้ นการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า ไม่มีการชันสูตร ให้รู้แน่ว่าผู้ตายเสียชีวิตจริ งหรือไม่ ดังนั้น จึงต้องเก็บไว้ตรวจตรากันก่อน ซึ่งก็เคยมีครับ ที่ศพฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ แต่ หากว่าถ้าเนื้อหนังเน่าเหม็น ก็เป็นอันว่าตายไปแล้วจริงๆ ก็ปิดปากถ้ำได้
ต่อมาในยุคกลางของยุโรป ผู้คนนิยมนำศพไปฝังไว้ใต้พื้
และก็ในยุคกลางนี้เอง ที่เกิดกาฬโรคระบาดมีคนตายนั บไม่ถ้วน รวมทั้งมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งก็มีศพเกิดขึ้นมากมายเช่นกั น ผู้ตายบางรายอยู่ห่างไกลจากบ้ านเกิด แต่ญาติพี่น้องต้องการศพ กลับไปทำพิธีทางศาสนา การส่งศพเดินทางไปหลายๆ วันนั้นย่อมเป็นสิ่งสาหั สสากรรจ์ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีการที่สะดวกกว่า นั่นคือ นำศพไปต้มเดือดนานหลายชั่วโมง จนเนื้อหนังหลุดเปื่อยออกหมด เห ลือแต่กะโหลกกับโครงกระดูก จัดใส่สองสิ่งนี้ในกล่องหรือหีบ แล้วส่งไปให้ญาติโกโหติกานำไปฝั งในโบสถ์หรือเก็บไว้ ในปราสาทของตนเองก็แล้วแต่
ความจริงยุโรปสมัยนั้น ก็เคยนิยมเผาศพ แต่การเผาต้องใช้ฟืนเป็นปริ มาณมาก กว่าศพจะมอดไหม้เป็นเถ้า ก็ทำเอาต้นไม้ใกล้จะหมดป่า จึงต้องหันกลับมาใช้วิธีฝังอีก
สู้พวกทิเบตในยุคกลางเดียวกันนี
ในอินเดียก็คล้ายกับทิเบต ชนฮินดูบางเผ่าจะมีสถานศักดิ์สิ
และอีกวิธีการหนึ่ง ของชาวฮินดูที่ทำกันมานานนับพั
แต่...การเผาศพตามประเพณีฮินดู
การให้สุนัขหรือแร้งกินซากศพก็
ในปี ค.ศ.1861 เมื่อสงครามกลางเมือง ระหว่างรัฐเหนือ-ใต้ของอเมริ
Civil War |
ดังนั้น ประธานาธิบดีลินคอล์นจึงมีคำสั่ งให้ศัลยแพทย์ใช้วิธีดองศพไม่ ให้เน่าเหม็น แล้วส่งให้กับครอบครัวของผู้ตาย หมอคนแรกที่ดำเนินการนี้ชื่อว่า ดร.โธมัส โฮล์มส์ เขาปฏิบัติการโดยเริ่ มจากนำศพทหาร ไปฝังพร้อมกับจดจำตำแหน่งหลุ มศพไว้ แล้วเขียนจดหมายถึงพ่อแม่หรื อเมียของผู้ตาย ถ้าหากทางครอบครัวอยากได้ศพ หมอโฮล์มส์ก็จะลงมือดองหรือสตั ฟฟ์ ด้วยการใช้น้ำยาที่มีสารหนู เข้มข้น สารหนูนั้นเป็นสารพิษและจะฆ่าจุ ลินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นตั วการให้ศพเน่าเหม็นและมีกลิ่น ห มอโฮล์มส์อัดน้ำยาสารหนูเข้าสู่ ร่างศพโดยใช้เครื่องสูบน้ำมื อโยก น้ำยาจะเข้าไปแทนที่เลือดซึ่งถู กระบายออกมา วิธีการนี้ได้ผลอย่างสมบูรณ์ ศพทหารทั้งหลายเดิน ทางกลับบ้านโดยปราศจากกลิ่นเน่ าเหม็นแต่อย่างใด
ทุกวันนี้ การจัดการศพได้แปรเปลี่
การส่งอัฐิไปลอยเหนื |
และศพไหนที่ยังไม่ตายจริง ก็ไม่ต้องกลัวโดนฝังทั้งเป็น เพราะมีแบบกรุ กระจกไว้ด้านหนึ่ง ระหว่างตั้งทำพิธี ถ้าหากมีไอน้ำมาเกาะกระจกด้านใน ก็แสดงว่าร่างที่นอนอยู่นั้นยั งมีชีวิตอยู่ อีกแบบจะเป็นโลง ที่มีสายกระดิ่งห้อยอยู่ข้างใน และตัวกระดิ่งอยู่ภายนอก ถ้าศพฟื้นคืนชีพขึ้นมา ก็สามารถดึงกระดิ่งให้คนมาช่ วยได้ (ถ้าไม่ตาแหกเผ่นหนีไปก่อน)
แต่ที่ทันสมัยที่สุดน่าจะเป็น บริษัท เซเลสติส แห่งเมืองฮิวส์ตัน, สหรัฐฯ บริษัทนี้รับบริการส่งอัฐิของผู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น