วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

"อัปสรา"ผู้เลอโฉมที่สุดในสยาม

http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317850
ภาพสลักนางอัปสราที่มีมากมายในปราสาทนครวัด
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       อัปสรา ในความคิดของใครหลายๆคน เธอดูเหมือนจะเป็นนางฟ้า แรกๆผมก็คิดอย่างนั้น กระทั่งได้รับรู้ตำนานการเกิดและวิถีทางสังคม(เทพ)ของนางอัปสรา ผมชักไม่แน่ใจซะแล้วสิ ว่าสถานะอย่างเธอสมควรเรียกว่านางฟ้าหรือเปล่า
      
       วิถีนางอัปสรา
      
       สำหรับความเป็นมาของ “นางอัปสราหรือนางอัปสร เกิดขึ้นในสมัยโบราณกาลนานนม ส่วนจะเป็นยุคไหน เก่าแก่แค่ไหน นานแค่ไหน ผมไม่รู้ แต่ตามตำนานระบุว่าเกิดขึ้นบนสวรรค์ในยุคทองของเทวดา(เทพ)และอสูร(ที่ไม่ผสมพันธุ์กันเป็นเทพเทือก(กึ่งเทพกึ่งอสูร)อย่างในประเทศสารฃัณฑ์)
      
       เทวดากับอสูรแม้จะเป็นอริศัตรูกัน แต่เทวดามักจะรบสู้อสูรไม่ได้ วันหนึ่งตัวแทนเทวดาจึงใช้ความเจ้าเล่ห์ เอาผลประโยชน์ก้อนโตมาล่อตัวแทนอสูร อสูรฟังแล้วตาโตเห็นดีเห็นงามด้วย ทั้งสองเมื่อสมยอมในผลประโยชน์(พฤติกรรมคล้ายนักการเมืองบ้านเรา)จึงพักรบชั่วคราว หันมาจับมือกันทำพิธี “กวนเกษียรสมุทธ โดยมีพระนารายณ์(พระวิษณุ)เป็นประธานผู้ควบคุมการทำพิธี เพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาดื่มกินสร้างความเป็นอมตะแก่เทวดาและอสูร
      
       การกวนเกษียรสมุทร ต้องให้พญานาควาสุกรี(พญานาค เศียร)ใช้ลำตัวมาเป็นเสมือนเชือก รัดพันรอบภูเขามัณธระ(เขาพระสุเมรุ)แล้วทั้งเทวดาและอสูรต่างช่วยกันยุดนาคคนละฟาก
      
       ฝ่ายเทพเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ออกอุบายว่า ฝ่ายใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลก(ไตรภพ)ให้มายุดทางฝั่งเศียร ฝ่ายอสูรหลงกลรีบเข้ายุดนาควาสุกรีทางฝั่งเศียรทันที ส่วนฝ่ายเทวดาเลือกไปยุดทางฝั่งหางแบบสบายใจ
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317851
ปราสาทศีขรภูมิ
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       เทพกับอสูรช่วยกันชักดึงภูเขามัณธระอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภูเขาหมุนกวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมทะเล ระหว่างทำพิธีพญานาควาสุกรีทั้งเจ็บ ทั้งอ่อนล้าจึงอ้าปากคายพิษออกมา พิษพญานาคทำให้หน้าอสูรเสียโฉมยับเยินดูหน้ากลัวดุร้ายมาจนถึงทุกวันนี้(ว่ากันว่าก่อนกวนเกษียรสมุทรเทวดาและอสูรมีหน้าตาหล่อเหลาพอๆกัน)
      
       อนึ่งการกวนเกษียรสมุทร ก่อให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างตามมา 10 กว่าอย่าง อาทิ ช้างเผือกเอราวัณ ต้นปาริชาติ สังข์ หริธนู พระนางลักษมีพร้อมดอกบัว ฯ รวมถึงนางอัปสราที่ถือกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทรครั้งนี้ด้วย
      
       โดยเรื่องมีอยู่ว่า ช่วงขณะหนึ่งของการทำพิธีภูเขามัณธระเกิดเอียงทรุดตัว ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงกายเป็นเต่าแหวกว่ายลงไปในในมหาสมุทรเพื่อหนุนเขามัณธระให้ตั้งตรงเหมือนเดิม ระหว่างนี้ส่งผลให้น้ำทะเลปั่นป่วน เกิดนางอัปสราผุดขึ้นมามากมายดังฟองคลื่น( บางตำราว่ากันว่ามีนางอัปสราผุดขึ้นมาถึง 35 ล้านนางเลยทีเดียว)
      
       สำหรับการกวนเกษียรสมุทรใช้เวลายาวนานนับพันไป สุดท้ายก็ได้น้ำอมฤตสมดังหวังของทั้ง ฝ่าย แต่ประทานโทษเทวดาเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ใช้กลอุบายล่อหลอกอสูรจนสามารถฮุบน้ำอมฤตไปดื่มแต่ฝ่ายเดียวได้ เพิ่มพลังให้ฝ่ายตนจนสามารถสยบอสูรลงได้(เหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากนี้ ก่อให้เกิดตำนานราหูอมพระจันทร์และพระอาทิตย์ตามมา)
      
       นับได้ว่าเหล่าเทวดาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกไม่เบา ปานประหนึ่งโจรใส่สูทที่มีมากมายในสังคมทุกวันนี้
      
       อัปสรา “ศรีขรภูมิ” โฉมงามแห่งสยาม
      
       การกวนเกษียรสมุทรแม้ก่อให้เกิดนางอัปสราผู้เลอโฉมมากมายทั้งรูปร่างหน้าตาและการแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่หลายคนบอกว่าเธอไม่สมควรเรียกว่านางฟ้า เพราะตามตำนานระบุถึงพฤติกรรมของนางอัปสราว่า เป็นพวกผู้หญิงที่ไม่เคยรักใครจริงจัง ชอบเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ(เอ...พฤติกรรมช่างคล้ายกับดาราสาวบางคนในบ้านเราเลย)เหล่าเทพและอสูรจึงเห็นนางอัปสราเป็นแค่นางบำเรอกามที่มีไว้เพื่อช่วยให้เสร็จสมอารมณ์หมายเท่านั้น
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317852
ทับหลังพระศิวะ ตอน
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       ในความเชื่อของใครและใครหลายๆคน นางอัปสราจึงเป็นแค่นางบำเรอกามมากว่าที่จะเป็นนางฟ้า
      
       ขณะที่อีกหนึ่งความเชื่อ เชื่อว่านางอัปสราคือนางฟ้าหรือเทพธิดาผู้รับใช้และคอยดูแลศาสนสถาน คล้ายกับความเชื่อของชาวขอมโบราณที่ยกย่องนับถือนางอัปสราว่าเป็นเทพธิดาผู้ดูแลศาสนสถานและเป็นเทพธิดาแห่งความดีงาม นั่นจึงทำให้มีภาพสลักนางอัปสรา ปรากฏอยู่ทั่วไปตามปราสาทโบราณในเขมร
      
       โดยเฉพาะนครวัด(สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เมืองเสียมเรียบ) มีรูปสลักนางอัปสราประดับประดาอยู่มากมาย อยู่ทุกซอกทุกมุม ซึ่งในปี พ.ศ. 2544 มีนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสและชาวเขมรร่วมกันใช้ความพยายาม(อย่างสูง)นับนางอัปสรา(อย่างเป็นทางการ)ในนครวัดได้มากถึงประมาณ 1,800 องค์เลยทีเดียว
      
       ทว่า...น่าแปลกที่ปราสาทขอมในบ้านเรา กลับหาภาพสลักนางอัปสราทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าปราสาทและเป็นองค์ประกอบศิลป์ของปราสาทขอมได้น้อยมาก ทอดตาทั้งแผ่นดินมีเพียง 2-3 แห่งเท่านั้น แต่ ในปราสาทจำนวนน้อยนิด มีภาพสลักหินนางอัปสราสุดสวยอยูนางที่ปราสาทศีขรภูมิ (ตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์)
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317853
อัปสรา ศีขรภูมิ นางซ้าย
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       นางอัปสราปราสาทศีขรภูมิ สลักจากฝีมือช่างโบราณชั้นครู ความงามสู้ภาพสลักนางอัปสราตามปราสาทขอมจำนวนมากในเขมรได้สบาย(จะเป็นรองก็แต่นางอัปสราที่นครวัดและปราสาทบันทายศรีเท่านั้น)จนได้ชื่อว่าเป็นนางอัปสราที่ได้ชื่อสวยที่สุดในเมืองไทย ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้มาเยือนปราสาทแห่งนี้กิตติศัพท์ในความงามของนางอัปสรา ทำให้ผมไม่รีรอออกเดินดุ่มๆมุ่งหน้าไปสู่ปราสาทปรางค์ประธานในทันที
      
       สำหรับปราสาทแห่งนี้ ตามข้อมูลระบุว่า สร้างขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทขอมที่สร้างผสมสานระหว่างศิลปะแบบบาปวนกับศิลปะแบบนครวัด เพื่อเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย(บูชาพระศิวะเป็นเทพสูงสุด) ตัวปราสาททั้งหมด มี องค์ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกันยกพื้นสูง
      
       การจะชมปราสาทแห่งนี้แบบพร้อมหน้าพร้อมตาครบทั้ง องค์ ให้ดูที่ด้านหน้าตรงกลางทางเดินสู่ปราสาท จากนั้นก็ขึ้นไปชมความงามของปราสาทประธานแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่ามีผลงานมาสเตอร์พีชระดับสุดยอดของเมืองไทยอยู่ อย่าง
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1317854
อัปสรา ศีขรภูมิ นางขวา
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       อย่างแรกคือ ทับหลังที่ได้ชื่อว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย สลักเป็นเรื่องพระศิวะ ตอน คือ ศิวนาฏราชยืนอยู่บนหงส์ พระศิวะสู่กับอรชุน(ตอนหนึ่งจากมหาภารตะยุทธ) และพระศิวะลงไปปราบพระนารายณ์ที่ถูกพิษจากการอวตารเป็นนรสิงห์ไปปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ
      
       อย่างที่ อยู่ด้านล่าง ทับหลังพระศิวะ ตอน คือภาพสลักนางอัปสราที่ได้ชื่อว่าสวยและสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
      
       นางอัปสราที่นี่ มี นาง ยืนขนาบซ้ายและขวาของประตูองค์ปรางค์ ต่างแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามทั้ง นาง เอวคอดกิ่ว ทรวงอกเต่งตึง ไม่โชว์ถันอย่างนางอัปสราบางแห่ง และจุกไม่โผล่เหมือนดาราสาวบางคนในยุคนี้ พ.ศ.นี้
      
       นางทางซ้ายมือขวาหนึ่งถือดอกบัวด้านข้างหูซ้ายมีนกเกาะอยู่ นางทางขวามือขวาถือดอกไม้มีนกเกาะอยู่ข้างบนข้างหูด้านขวามีกระรอกวิ่งซุกซนอยู่
      
       นางอัปสราทั้ง สวมเครื่องทรงศีรษะอันสวยงามแตกต่างกันไป เหนือศีรษะขึ้นไปสลักเป็นลวดลายประดับดอกไม้และลายอื่นๆอย่างสวยงาม
      
       เธอทั้ง ยืนเอนตัวเล็กน้อยพองาม ตามลักษณะอันอรชรอ่อนช้อยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่เผยอให้เห็นไรฟัน ดูแล้วอิ่มเอมเพลินใจดีแท้ ที่สำคัญคือใบหน้าของนางทั้ง ดูสุขใจนัก เหมือนกับจะบอกให้โลกรับรู้ว่า พวกเธอต่างสุขใจที่ได้ทำหน้าที่เฝ้าปรนนิบัติองค์ศิวเทพ(พระศิวะ) ผู้เป็นใหญ่แห่งเทวสถานแห่งนี้
      
       สำหรับผมรอยยิ้มของนางอัปสราทั้งสอง ทำให้ผมต้องไขว้เขวในความคิดอีกครั้งว่า สถานนะของนางอัปสรา เธอสมควรที่จะเป็นนางบำเรอกามหรือสมควรที่จะเป็นนางฟ้าดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น