วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

คำทำนายจากอดีต ถึงโลกปัจจุบัน ของ "เอดิสัน"

"เอดิสัน" เป็นนักประดิษฐ์ที่ชาวโลกรู้จักกันดีในฐานะผู้คิดค้นหลอดไฟได้เป็นคนแรกของโลก แล้วเขายังมีนวัตกรรมอันเป็นผลงานสร้างสรรค์อีกมากมาย และในช่วงเวลา 84 ปีที่เขายังมีลมหายใจ เอดิสันยังได้มองไกลถึงนวัตกรรมของเขาว่าจะทำให้โลกอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ในวันเกิดครบรอบปีที่ 164 ของ "โทมัส เอดิสัน" (Thomas Edison) เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2011 ที่ผ่านมา "เนชันแนลจีโอกราฟิก" จึงได้นำเรากลับไปย้อนทบทวน "คำคาดการณ์" ของเอดิสัน เมื่อครั้งที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ลงนิตยสาร "คอสโมโปลิแทน" (Cosmopolitan : ที่สมัยนั้นยังเป็นนิตยสารทั่วไป) โดยเป็นการรวบรวมและอธิบายขยายความเพิ่มเติมจากหนังสือ "เอดิสัน : ชีวิตแห่งการคิดค้น" (Edison: A Life of Invention)
ไปดูกันกว่า คำทำนายของ "เอดิสัน" เมื่อ ปี 1911 มีอะไรเกิดขึ้นจริงแล้วบ้างในปี 2011
หนังสือจะทำจากโลหะ
เอดิสันได้จินตนาการว่า หนังสือในอนาคตจะไม่ใช้กระดาษหากแต่เป็นโลหะนิเกิลแทนและหนังสือนิเกิลนี้จะมีราคาถูกกว่า แข็งแรงกว่าและยังเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่นได้มากกว่ากระดาษ
แน่นอนว่าเอดิสันไม่มีทางรู้จัก "หมึกอิเล็กทรอนิกส์" (e-ink) ที่กลายเป็นตัวอักษรแห่งโลกดิจิทัล แต่เขาก็ได้มองไกลไปเกินกว่าหนังสือที่เขาถือไว้ในมือเสียอีกและนิเกิลก็ใช้ทำสแตนเลสสตีลเป็นมันวาวเหมือนอุปกรณ์อิเล็กทริกส์ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ที่เราแทบจะใช้แทนหนังสือกันไปแล้ว

เอดิสันบอกว่าเราไม่ต้องใช้กระดาษทำหนังสือกันแล้ว (tidbits.com)
เครื่องยนต์จะมาแทนคนงาน
ในปี 1911 เอดิสันบอกคอสโมโปลิแทนว่า เครื่องจักรกลทั้งหลายจะสามารถสร้างและประกอบสิ่งของต่างๆ ทดแทนการใช้มือคนได้อย่างแน่นอน

"
วันที่ช่างเย็บผ้าตามท้องถนนจะนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งด้นตะเข็บกำลังจะหมดลง" เขาทำนายและเห็นว่า เครื่องจักรกลจะเข้าไปแทนที่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งก็เป็นอย่างภาพที่เราเห็นกันในโลกยุคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

เครื่องจักรก็เย็บผ้าให้เราได้ (evilmonito.com)
โทรศัพท์จะฉลาดขึ้น
แม้เอดิสันจะไม่ใช่ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ แต่เขาก็พัฒนาโทรเลขแบบใช้เสียงขึ้น (phonograph) อันเป็นพื้นฐานให้นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า "โทรศัพท์" และเมื่อนั้นเอดิสันก็เชื่อว่าในอนาคตจะมีการประยุกต์ใช้งานโทรศัพท์ได้อีกหลากหลายมากมาย
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีทางด้านโทรศัพท์ที่พัฒนาได้ก้าวไกลจนถึงทุกวันนี้ และจะก้าวไกลไปกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ก็เพราะพื้นฐานที่มาจากโทรเลขแบบเสียงของเอดิสันนั่นเอง

โทรศัพท์ที่เอดิสันออกแบบใหม่ต่อ จากเกรเฮม เบลล์ เขาคงคิดไม่ถึงว่าปัจจุบันมันมาไกลถึงเพียงไหน (Science Museum London)
โลกนี้จะมีแต่คอนกรีต
ผลจากการการสร้างเตาเผาแบบต่อเนื่อง ทำให้เอดิสันได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมซีเม็นต์จนนำไปสู่การใช้คอนกรีตอย่างแพร่หลาย ตอนนั้น เอดิสันบอกว่าผู้คนเสียสติที่สร้างตึกด้วยก้อนอิฐประกอบเข้ากับแท่งเหล็ก ทำไมถึงไม่ใช้คอนกรีตเทให้เข้ากับโครงสร้างเหล็กหรือเหล็กเส้
เขายังทำนายอีกว่า หลังจากปี 1941 สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์สวยหรูหรือตึกสูงระฟ้า คอนกรีตจะทำให้โครงสร้างเหล่านี้ดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน
ในช่วงปี 1920 ตึกระฟ้าทั้งหลายก็ได้ใช้คอนกรีตเสริมเหล็กจริงอย่างที่เอดิสันว่าไว้ แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2เหล่าสถาปนิกยุคใหม่นิยมออกแบบตึกสูงที่มีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นกรอบเหล็กติดผนังกระจกมากกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กไปเสียแล้ว
เฟอร์นิเจอร์ไม้จะหายไป
เอดิสันบอกคอสโมโปลิแทนว่า เฟอร์นิเจอร์เหล็กจะถูกนำมาประดับบ้านวางแทนที่เฟอร์นิเจอร์ไม้ ขณะที่สภาพสังคมในตอนนั้น แทบนึกถึงภาพแท่งเหล็กที่ตั้งประดับบ้านไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

"
เด็กๆ ในรุ่นถัดไปจะได้นั่งเก้าอี้สูงทำจากเหล็กกล้า และรับประทานอาหารบนโต๊ะเหล็กเช่นกัน พวกเขาจะไม่รู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ นั่นก็เพราะอัลลอยมีน้ำหนักเบาและถูกกว่าไม้ และยังนำไปทำลวดลายได้ง่ายกว่าไม้มะฮอกานีหรือไม้ชนิดอื่นๆ" เอดิสันกล่าวไว้
อีกทั้งในช่วงปี 1920 - 1930 เหล่าผู้ผลิต ก็เริ่มทดลองสร้างเฟอร์นิเจอร์เหล็กให้กับสถานที่ทำงานต่างๆ มากขึ้น แม้ว่าตามบ้านจะยังคงใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้อย่างแพร่หลายก็ตาม
ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนรถไฟแทนไอน้ำ
รถจักรไอน้ำเพิ่งก่อกำเนิดก่อนเอดิสันเกิดเพียงครึ่งศตวรรษ แต่เอดิสันในวัยหนุ่มกลับบอกว่าในไม่ช้ารถจักรไอน้ำจะหมดไปและเทคโนโลยีกังหันน้ำจะช่วยสร้างกระแสไฟฟ้าให้วิ่งบนรางรถไฟได้และจะก้าวข้ามไปจากยุคไอน้ำ
แค่เพียงศตวรรษเดียว ที่เอดิสันทำนายไว้เราก็ได้ประจักษ์ชัดว่ารถจักรไอน้ำได้สิ้นสุดลงแล้วแถมยังมีรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเข้ามาแทนที่
รถจักรไอน้ำกลายเป็นตำนาน (education.mcgill.ca)
ยุคทองของการเล่นแร่แปรธาตุ
เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุมีความพยายามที่จะสร้างทองคำเทียมมาตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม แม้แต่เอดิสันก็ให้ความสนใจซึ่งเขาพูดถึงสิ่งนี้ ก่อนจะมีอุตสาหกรรมผลิตทองในสหรัฐฯ เสียอีก
เอดิสันเกือบทายถูกว่า เราจะสามารถสร้างทองได้เองเพราะมีนักวิทยาศาสตร์สามารถจัดเรียงอะตอมจนเป็นทองสังเคราะห์ได้สำเร็จในห้องปฏิบัติการ
ทว่า การสร้างทองเทียมได้ก็หาใช่เรื่องน่าตื่นเต้น เพราะโลกยุคปัจจุบันเราสามารถสร้างวัตถุเทียมขึ้นได้อีกมากมายหลายชนิด
เทคโนโลยีทำชีวิตไม่มีจน
"
ความยากจนนั้น คือโลกที่ผู้คนใช้แต่มือ ทว่าตอนนี้มนุษย์เริ่มใช้สมองของพวกเขาแล้ว ดังนั้นความยากจนกำลังจะหมดลง" มุมมองของโทมัส เอดิสันต่อความยากจน โดยเขาเชื่อว่านับจากยุคของเขา ที่มีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมกันอย่างมากมาย จะส่งผลให้ความยากจนค่อยๆ หมดไป
เอดิสันมองประโยชน์ของเทคโนโลยีว่า จะช่วยสร้างความก้าวหน้าทางธุรกิจ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ทั้งความร่ำรวยและความดีงาม อันจะทำให้ความยากจนหดหายไป ซึ่งยังไม่ใช่โลกในปี 2011 เป็นแน่แท้
คำทำนายของเอดิสันมองจากพื้นฐานสังคมในยุคนั้น และวิเคราะห์แนวโน้มอนาคตที่อาจจะไปถึงแล้วหรือยังไปไม่ถึง
แต่ที่แน่ๆ มุมมองของเขาในฐานะนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก ที่มีผลงานจดสิทธิบัตรนับพันชิ้น ในวัย 50 ต้นๆ เขาได้กลายเป็นเมธีนวัตกร นักคิดค้นสำคัญของชาติอเมริกัน (และโลก) ซึ่งในยุคของเขานั้นมีความศรัทธาต่อการใช้เทคโนโลยีสร้างความก้าวหน้า ผลงานของเขาหลายสิ่ง ที่ยังคงกลายเป็นรากฐานและมีอิทธิพลต่อนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น